Home » 2020 (Page 2)
Yearly Archives: 2020
คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย ที่สุด ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 เปอร์เซ็นต์
ถ้าการได้เกรด 4 หลายๆ ตัวเป็นความภาคภูมิใจของเด็กวัยมัธยม การได้รับผลการเรียนในระดับเกียรตินิยมก็เป็นความท้าทายของวัยมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน ซึ่งเกณฑ์การให้คะแนนตรงจุดนี้ ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย แล้วก็ต่างกันไปตามข้อกำหนดของคณะนั้นๆ อีกด้วย
แต่ยงัมีบาง คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย ในภาพรวมก็คือ ต้องมีเกรดเฉลี่ยในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยม พร้อมกับไม่มีประวัติการสอบตกหรือพักวิชาเรียนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่จบการศึกษาด้วย
คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย ที่วัดความถูกผิดแบบชัดเจนไม่ได้
การได้รับผลการเรียนที่พ่วงต่อด้วยคำว่าเกียรตินิยม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความภูมิใจส่วนตัวเท่านั้น แต่มันยังมีผลต่อชีวิตวัยทำงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โอกาสของการเข้าร่วมกับบริษัทชั้นนำ โอกาสในการขอปรับเงินเดือนให้สูงขึ้น ตลอดจนการขอทุนเพื่อเรียนต่อในต่างประเทศ มันจึงคุ้มค่าที่จะลงทุนลงแรง สำหรับเด็กที่คิดว่าตัวเองสามารถทุ่มเทเพื่อการเรียนให้ไปถึงจุดนั้นได้ แต่รู้หรือไม่ว่ามีบาง คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย ที่ทุ่มเทยังไง ค่าสถิติของคนที่ได้รางวัลตรงนี้ก็น้อยอยู่ดี
คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย อันดับต้นๆที่มีนักศึกษาได้รับน้อยที่สุด ก็คือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะเกี่ยวกับการออกแบบ ที่ต้องใช้องค์ความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ นอกจากจะสอบเข้าไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ก็ยังเรียนโหดกว่าหลายๆ คณะ ถึงขนาดที่ว่า เด็กถาปัตย์เองก็ยังบอกว่า หากมีลูกสาวคงไม่อยากให้เรียนคณะนี้ เนื่องจากงานระหว่างเรียนมันหนักจริงๆ ต้องอดหลับอดนอนในบางครั้ง และยังต้องสมบุกสมบันเวลาออกไปนอกพื้นที่ด้วย
แล้วทำไมการเรียนแบบทุ่มเทขนาดนั้น ยังทำให้เด็กถาปัตย์ได้รับเกียรตินิยมในสัดส่วนที่น้อยอยู่ ทำให้ยังมี คณะที่ได้รับเกียรตินิยมน้อย ค่าเฉลี่ยมักจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เรียนเท่านั้นเอง เหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือ คณะนี้มีความเป็นศิลปะผสมผสาน ซึ่งมันวัดความถูกผิดแบบชัดเจนไม่ได้ซะทีเดียว บวกกับธรรมชาติของคนเรียนคณะนี้ ก็ไม่ได้มุ่งหวังที่จะคว้าเกรดยอดเยี่ยมเป็นหลัก แต่เน้นทำงานได้จริงและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกลุ่มเพื่อนมากกว่า
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลด้านการศึกษา ที่เราได้นำมาให้คุณถึงที่ในเว็บไซต์นี้
การประกอบอาชีพ สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่าชอบอะไร และอยากประกอบอาชีพอะไร
การประกอบอาชีพ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างจะตอบยาก และ เด็ก ๆ มักตอบไม่ได้ต่อให้เป้นเด็กที่อยู่ในมัธยมแล้วก็ตาม ซึ่งนั้นบางทีอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคน ๆ หนึ่งเลยก็ได้
ดังนั้นในบทความนี้เราจะขอพูดถึงความสำคัญสำหรับเด็ก ๆ ที่ควรรู้ว่าตัวเองจะชื่นชอบอะไร และ ในอนาคตอยากเลือก ประกอบอาชีพ อะไร เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองในวันข้างหน้า
การประกอบอาชีพ เด็กยุคนี้ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ
การประกอบอาชีพ ปัญหาแรกเลยนั้นคือ เรียนไปแล้วไม่ใช่ เรียนไปก็ไม่จบ ปัญหาที่สะสมตั้งแต่ตอนที่เรียนโดยเฉพาะตอนช่วงปริญญาตรี ที่เราไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จนสุท้ายกลายเป็นว่าเรียนตาม “กระแสนิยม” หรือ “เลือกเรียนตามเพื่อน”
โดยที่ตัวเองไม่ชอบในสายที่เรียนนั้น ซึ่งผลสุดท้ายของการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบมันก็คือ การ “ฝืน” ดี ๆ นั้นเองสุดท้ายก็ไปไม่รอด เรียนไม่จบ ต้องออกมาเรียนใหม่ ซึ่งน่าเสียดายเวลามาก ๆ
การประกอบอาชีพ ปัญหาที่สองที่พบ คือ ถึงแม้เราจะฝืนเรียนจบในสาย ที่เราไม่ได้ต้องการจะเรียน หรือ ไม่ใช่ตัวตนเรา เมื่อเราจบมาแล้วเราก็จะต้องพบกับงานที่ไม่ตรงสายกับตัวเราเอง ซึ่งนั้นจะทำให้เราทั้งอึดอัด และ ไม่สบายใจกับงานที่เราไม่ได้ชื่นชอบ และ ไม่ได้อยากจะทำงานนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นเราเองที่รู้สึกไม่สบายใจนะครับ
การประกอบอาชีพ ปัญหาที่สามที่พบ คือ เรียนในสิ่งที่ชอบ งานในสิ่งที่ใช่ย่อมดีกว่า ดังนั้นถ้าหากเรามีโอกาสได้ค้นหาตัวตน หรือ การได้ทำงานเป็นการทำงานในงานที่เราอยากจะทำ หรือ เรียนในสิ่งที่เรารัก นั้นจะทำให้เราทั้งมีความสุข สนุก และไม่รู้สึกเบื่อกับการทำงาน หรือ การเรียนที่เราเป็นคนแรกมานะครับ
ดังนั้นถ้าหากเรามีโอกาสได้เลือกเรียน หรือ ค้นหาตัวเองเจอก่อนจะเลือกสายเรียนละก็จะช่วยตัวเราได้มากในอนาคตเพราะจะส่งผลไปถึงการ ประกอบอาชีพด้วย เนื่องจากมีเด็กไม่น้อยที่เรียนไปทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ชอบผลสุดท้ายก็คือเรียนไม่จบ เพราะฝืนเรียนต่อไม่ไหว
คุณจะได้ติดตาม ข้อมูลข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้
ราชภัฏสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยระดับอุดมศึกษา มีดีอย่างไร
หากคุณเป็นคนที่กำลังศึกษาอยู่แล้วมีความคิดในการหาที่เรียนในระดับอุดมศึกษาศึกษาอยู่นั้น บทความนี้ช่วยคุณได้
เรามีบทความมาฝากโดยบทความนี้เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับ ราชภัฏสุราษฎร์ธานี ว่าภายในมหาลัยนี้มีคณะอะไรกันบ้าง เราไปทำความรู้จักกับ ราชภัฏสุราษฎร์ธานี กันได้เลย
ราชภัฏสุราษฎร์ธานี มีคณะที่น่าสนใจมากๆ
การผ่านการอบรม ราชภัฏสุราษฎร์ธานี แคมป์ปิ้ง มาครับซึ่งเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง ซึ่วคนที่ได้ไปอบรมนั้นจะมีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์แต่ผมนั้นได้ผ่านการอบรมในรอบที่ 2 แต่ยังมีการอบรมในรอบที่ 3 อยู่ และคณะใน ราชภัฏสุราษฎร์ธานี มีทั้งคณะครุศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นิติศาสตร์ คณะพยาบาล วิทยาลัยนานาชาตการท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งนิเทศศาสตร์ บอกได้คำเดียวเลยว่าแต่ละคณะจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การค้นหาตัวเองให้เจอเสียก่อน ว่าตัวเองนั้นถนัดอะไร ชอบอะไร การได้ที่เรียนดีมีชื่อเสียงไม่ใช่เป็นตัวกำหนดหรือเป็นตัวบงบอกถึงการประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณรักมันและคิดว่าไปกับมันได้ เพราะสำหรับผมคิดว่าการได้ที่เรียนหรือคณะที่ตัวเองรักแล้วจะประสบความสำเร็จ เราต้องลงมือทำมันเสียก่อน อย่างที่ว่ากันว่า พรสวรรค์นั้นได้มาทุกๆคนในทุกๆเรื่อง แต่พรสวรรค์จะค่อยๆหายไปในตอนที่เราไม่มีพรแสวง
อย่างไรก็ตาม ราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นสถานศึกษาอีกหนึ่งที่ที่มีความมั่นคงในหลายๆเรื่อง คุณพร้อมหรือยังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในรั่วมหาลัยแห่งนี้ และหากมีโอกาสบทความต่อไปเราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ ราชภัฏสุราษฎร์ธานี ให้เยอะมากกว่านี้ ว่าแต่ละคณะนั้นมีสาขาอะไรบ้าง และรวมไปถึงสวัสดิการที่นักศึกษาจะได้รับมีอะไรบ้าง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องค้นหาความชอบของตัวเองให้เจอ ยกตัวอย่างเช่น ผมเองได้เข้าการอบรม ราชภัฏสุราษฎร์ธานี แคมป์ปิ้ง โดยในการเลือกสอบสัมภาษณ์นั้นผมได้เลือก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เอกภาษาไทย เพราะมีความถนัดทางด้านภาษาไทย ชอบเขียนบทความ หนังสือกาตูน นิยาย ผมจึงตัดสินใจที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของ ราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลด้านการศึกษา ที่เราได้นำมาให้คุณถึงที่ในเว็บไซต์นี้
สังคมมหาวิทยาลัย อีกหนึ่งภาระที่เด็กใหม่ต้องแบกรับ
เวลาที่เด็กนักเรียนวัยมัธยมก้าวข้ามไปสู่ระดับชั้นมหาวิทยาลัย จะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องการจัดตารางชีวิต เนื้อหาที่ต้องเรียน แล้วไหนจะต้องเรียนรู้ สังคมมหาวิทยาลัย อีกด้วย
โดยในส่วนสุดท้ายนี่แหละที่มันเป็นปัญหา เราฝึกฝนให้เด็กวัยมัธยมอยู่ในกฎระเบียบมากมาย ทุกอย่างต้องทำตามแนวทางที่ครูวางไว้ คิดนอกกรอบก็ไม่ค่อยได้ อยากจะปรับเปลี่ยนอะไรภายในโรงเรียนให้ตอบโจทย์นักเรียนก็ทำได้ยากเหลือเกิน
สังคมมหาวิทยาลัย ที่ต้องมีีความรับผิดชอบทุกอย่าง
แต่พอมาอยู่ใน สังคมมหาวิทยาลัย ทุกอย่างกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คล้ายกับสังคมการทำงานของผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น ต้องติดตามกำหนดการต่างๆ เอง ไม่มีครูประจำชั้น ไม่มีคนบังคับให้ไปเรียน และต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองทั้งหมด หากมีเพื่อนสมัยมัธยมสอบติดคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็พอช่วยให้การปรับตัวนั้นเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้บ้าง แต่ถ้ามาตัวคนเดียวโดดๆ งานนี้ก็สาหัสสำหรับเด็กใหม่อยู่เหมือนกัน
หลายคนอาจจะมองว่านี่เป็นเรื่องปกติ เวลาเปลี่ยนสถานะไปแล้วก็ต้องมีการปรับตัว ทุกคนต้องเรียนรู้เองเหมือนกันหมด นักเรียนที่ไปอยู่ใน สังคมมหาวิทยาลัย ก็เช่นเดียวกัน ไม่น่าจะยกขึ้นมาเป็นประเด็นปัญหาอะไรใหญ่โต แต่ความจริงแล้ว มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่แบกรับไม่ไหว จนต้องลาออกเพื่อหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะความกดดันต่างๆ มันไม่ใช่แค่การปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ตามสไตล์ที่คนทั่วไปมองเห็น แต่มันยังมีเรื่องภายในที่คนนอกไม่รู้อีกมาก เช่น ความปลอดภัย ความรุนแรงทางร่างกาย ความรุนแรงทางจิตใจ เป็นต้น
ทีนี้พอมองมาถึงทางแก้ไข ก็พอเข้าใจได้ทั้งในฝ่ายของมหาวิทยาลัยและฝ่ายของนักเรียน เพราะ สังคมมหาวิทยาลัย เป็นสังคมที่ค่อนข้างกว้าง จะให้ครูไปดูแลนักเรียนนักศึกษาอย่างใกล้ชิดก็คงไม่ได้ หรือจะออกมาตรการดูแลอย่างไร ก็คงไม่ทั่วถึงในจุดเล็กๆ อยู่ดี การสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนตั้งแต่วัยมัธยมจึงเป็นทางเลือกที่พอจะทำได้ในตอนนี้ ฝึกให้เด็กเรียนรู้ว่า เมื่อเปลี่ยนระดับชั้นแล้วจะเป็นอย่างไร การเจอสังคมที่มีผู้คนหลากหลายกว่าห้องสี่เหลี่ยมจะเป็นอย่างไร แล้วพ่อแม่ก็ต้องคอยช่วยดูแลอีกทางหนึ่งด้วย
คุณจะได้ติดตาม ข้อมูลข่าวการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้
รุ่นพี่มหาวิทยาลัย ปัญหาใหญ่ที่สังคมมองข้ามและไม่เคยมีใครรับรู้
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเอาประเด็นนี้มาตีแผ่เลย เพราะสังคมบ้านเรามีเรื่องของการให้ความเคารพคนที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเป็นทุนเดิม รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย จึงกลายเป็นกลุ่มคนที่รุ่นน้องต้องเคารพ
ซึ่งในแง่ดีก็คือ รุ่นพี่มหาวิทยาลัย จะได้ช่วยเหลือให้รุ่นน้องสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมในรั้วมหาวิทยาลัยได้ คอยชี้แนะถึงเนื้อหาวิชาที่ต้องเรียน ว่าเลือกเรียนกลุ่มไหนถึงจะดี แนวข้อสอบประมาณไหน เตรียมตัวอย่างไรถึงจะไม่หนักหนาจนเกินไป ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาในเรื่องส่วนตัวอื่นๆ
รุ่นพี่มหาวิทยาลัย สร้างความกดดันให้กับรุ่นน้อง
แต่ความเป็นจริง รุ่นพี่มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้เหมือนในอุดมคติทุกคนไป ใครที่ได้รุ่นพี่ดีถือว่าเป็นโชคลาภอันประเสริฐทีเดียว รับรองว่าจะได้ทั้งคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ และได้สมบัติที่รุ่นพี่เคยใช้มาก่อน เช่น หนังสือที่มีโน๊ตสรุปให้ ชีทพิเศษที่รุ่นพี่เคยได้มา เป็นต้น ในทางกลับกันก็มีรุ่นน้องจำนวนไม่น้อย ที่ต้องฝืนทนกับรุ่นพี่ของตัวเองเช่นกัน
ความกดดันจาก รุ่นพี่มหาวิทยาลัย เคยร้ายแรงถึงขั้นที่รุ่นน้องต้องตัดใจทิ้งคณะที่ใฝ่ฝัน ลาออกเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ใช่ว่าไม่อดทน ไม่ใช่ว่าปรับตัวไม่ได้ แต่คนที่ไม่เคยเจอก็ไม่มีทางรู้ได้ รุ่นพี่บางคนใช้อำนาจในฐานะรุ่นพี่เบียดเบียนรุ่นน้อง ตั้งแต่เรื่องเรียนไปจนถึงเรื่องส่วนตัว บางคนให้รุ่นน้องเลี้ยงข้าวทุกครั้งที่เจอกัน หากเป็นคนบ้านมีฐานะคงไม่เป็นไร แต่หากเป็นเด็กที่ต้องกู้ยืมมาเรียนจะทำยังไงได้ ในเมื่อใจก็ไม่กล้าปฏิเสธเหมือนกัน
ตัวอย่างในเรื่องการเรียนก็คือ รุ่นพี่มหาวิทยาลัย ขอให้รุ่นน้องเช็คชื่อให้ กรณีที่รุ่นพี่เรียนยังไม่ผ่านวิชาเดียวกันกับที่น้องเรียนอยู่ ลอกการบ้านบ้าง ลอกงานส่งบ้าง ร้ายไปกว่านั้นก็คือให้น้องทำให้ทั้งหมด เรื่องนี้ต่อให้ถึงหูครูผู้ดูแล ก็ช่วยเหลือได้ไม่มากนัก ถึงจัดการได้เคสหนึ่งก็ยังเหลืออีกหลายเคส มันจึงถึงเวลาแล้วว่าจะมีแนวทางในการปรับระบบสังคมรุ่นพี่กับรุ่นน้องอย่างไรต่อไป
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลด้านการศึกษา ที่เราได้นำมาให้คุณถึงที่ในเว็บไซต์นี้
นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม ฝึกได้ผ่านกฎ 2 ชั่วโมงของไอน์สไตน์
เคยสังเกตไหมว่า ในกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือแม้แต่ร่วมโรงเรียนเดียวกันกับเรา จะมีใครบางคนที่สามารถแก้สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด มันดูเท่ห์ มีเสน่ห์ และมีความเป็นผู้นำเอามากๆ
และจะดีไหมถ้าเราฝึกตัวเองให้เป็น นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม ได้ ด้วยกฎ 2 ชั่วโมงของไอน์สไตน์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นแนวทางที่อัจฉริยะระดับโลกเขาทำกันจริงๆ วิธีการไม่ยุ่งยาก แถมใช้เวลาน้อยนิด แค่ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง
นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม จะต้องฝึกคิดนอกกรอบไปจากเดิม
นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม ก่อนจะไปรู้ว่ากฎ 2 ชั่วโมงของไอน์สไตน์มีวิธีการอย่างไร ลองมาดูผลลัพธ์ที่จะได้กันก่อน หากเราทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สิ่งแรกที่จะได้เลยก็คือ มีความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเราจะได้คิดอะไรที่มันนอกกรอบไปจากเดิมค่อนข้างมากในกระบวนการฝึก แล้วก็ได้พลังใจในการทำบางสิ่งบางอย่างของตัวเองให้สำเร็จ ในทางชีวภาพ มันจะเป็นการกระตุ้นให้สมองบางส่วนให้ทำงานเต็มศักยภาพมากขึ้นด้วย
ลักษณะการฝึกกฎ 2 ชั่วโมงของไอน์สไตน์ ให้เป็น นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม ในภาพรวมมันคือการจินตนาการถึงสถานการณ์บางอย่างที่มันยังไม่เกิดขึ้น แต่คิดและไตร่ตรองราวกับมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว เริ่มจากเลือกสถานที่อันสงบและสบาย ถ้าสามารถอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้ก็ยิ่งดี เพราะมันจะช่วยให้สมองเปิดรับและต่อยอดความคิดได้ลื่นไหลกว่า ถ้าไม่สะดวกจริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบ ไม่มีสิ่งใดมารบกวนระหว่างการฝึก
สำหรับกฎ 2 ชั่วโมงของไอน์สไตน์ ให้เป็น นักแก้ปัญหา ที่ยอดเยี่ยม โดยเราจะฝึกกันต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง ให้คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาจากการตั้งคำถาม เช่น ถ้าเราทำอย่างนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้เราจะแก้ไขอย่างไร เป็นต้น แล้วคิดหาทางออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ทางที่ดีที่สุด เมื่อเริ่มเข้าใจการฝึกดีแล้ว ก็ให้พัฒนาแนวคำถามให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น ตัวฉันในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป้าหมายที่สำคัญและต้องทำได้ในชีวิตนี้คืออะไร เป็นต้น
คุณจะได้ติดตาม ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้
ความกตัญญู “ไม่ใช่” เครื่องหมายของคนดีในยุคปัจจุบันอีกแล้ว
หลายคนคงได้ยินประโยคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี” ก็ยังมีอิทธิพลมากในสังคมไทยที่ยังยึดถือประโยคนี้อยู่ หากใครไม่คิดกตัญญูหรือทำคุณต่อบิดามารดา จะหากินอะไรก็ไม่ขึ้น บางทีก็มีเค้าความจริงอยู่บ้าง แต่ก็ต้องดูที่บริบทของแต่ละครอบครัวด้วยเช่นกัน ที่ความเชื่อข้อนี้ยังเป็นข้อโต้เถียงอยู่ว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดีจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ยัดเยียดจากคนในสังคม?
การศึกษาในเรื่องนี้น่าสนใจมาก ถือได้ว่าเปิดมิติใหม่อีกมุมมองของข้อถกเถียงเรื่องนี้อยู่ ซึ่งถ้ามองในเรื่องการนิยามนั้นจะนิยามได้เป็นข้อๆ ของ ความกตัญญู ที่สังคมไทยแต่ละชนชั้นกำหนดดังนี้
ความกตัญญู เปลี่ยนแปลงไปจนนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า
ความกตัญญ ที่พ่อแม่อย่างเราต้องการประการแรก คือ มีลูกไวให้ทันใช้ หรือมีลูกเพื่อจะได้เลี้ยงตัวเองตอนแก่ แน่นอนว่าเวลามีลูก คนเป็นพ่อแม่ก็หวังพึ่งพาลูกสักครั้งในชีวิต อยากเจ้ากี้เจ้าการ อยากพึ่งพาตามใจอยาก อยากเรียกร้องให้เห็นความสำคัญตนเองตอนไม้ใกล้ฝั่ง แต่ลืมไปว่าลูกก็มีชีวิตของลูกเอง การนิยามเรื่องความกตัญญูเพื่อให้ทันใช้ตอนโตนั้นถือว่าเป็นนิยามที่คับแคบมาก
เนื่องการศึกษาพบว่าเป็นช่องโหว่ในการเกิดโรคซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่น เพราะช่วงวัยเด็กย่อมมีพัฒนาการตามวัยที่เปลี่ยนแปลง และเป็นรอยต่อสู่วัยรุ่นในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้า การถูกบังคับจากครอบครัวในเรื่องต่างๆ ซึ่งเด็กและวัยรุ่นยังไม่มีภูมิคุ้มกันในชีวิตมากพอ อาจทำให้เกิดความเครียดจนนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด
ความกตัญญ ที่พ่อแม่อย่างเราต้องการประการที่สอง คือ กตัญญูรู้คุณคน ต้องรู้จักการตอบแทน ถ้าใช้คำว่ากตัญญูให้ถูกทางก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง แต่การนำความกตัญญูก็มีโอกาสใช้ในทางที่ผิดเช่นกัน เช่น ระบบอุปถัมภ์ หรือเรียกกันว่าใช้เส้นสาย เอาความดีเป็นเครื่องต่อรอง
ซึ่งการใช้ช่องโหว่ของ ความกตัญญู เป็นเรื่องที่เลวร้ายกว่าที่คิดไว้ จากการศึกษาพบว่าการกตัญญูมีผลต่อเส้นสายอย่างมาก เนื่องจากจะกลายเป็นทวงบุญคุณ และลดคุณธรรมบางอย่างลงไปแทน จะกลายเป็นสนับสนุนระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) ไปโดยปริยาย
ความกตัญญ ที่พ่อแม่อย่างเราต้องการประการที่สาม คือ เราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ผิดถูกเขาก็คือพ่อแม่ จะมองในภาพนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีพอที่ลูกจะกตัญญูด้วย หลายคนตัดสินจากสิ่งที่เห็นภายนอก มีไม่น้อยที่พ่อแม่ไม่ให้ความรักเท่าๆ กัน จะผิดจะถูกไม่สนคิดแค่เป็นพ่อแม่ และไม่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกเลย
จากการศึกษาพบว่าพ่อแม่ที่เรียกร้องต่อลูกเรื่องความกตัญญู กลับสร้างความอึดอัดใจต่อลูกมาก เนื่องจากพ่อแม่ใช้ข้อนี้เพื่อเห็นแก่ตัว และใช้ข้อนี้เพื่อเอาชนะ และทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว ลูกจะมีอารมณ์แปรปรวนมากในช่วงวัยรุ่น และมีโอกาสก้าวร้าวมากกว่า เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่เด็ก
สรุปการศึกษาในภาพรวมนั้น การกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณจะว่าดีก็ดีมาก แต่ก็มีข้อเสียแอบแฝงอยู่ เราจะต้องดูบริบทของเหตุการณ์และมองตามสภาพความเป็นจริงเป็นหลัก ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ใช้ในทางที่ถูกต้อง เหมาะสมตามครรลองครองธรรม และมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความกตัญญู จะเป็นเครื่องมือที่น่าศรัทธายิ่ง ไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อข่มขู่ บังคับขู่เข็ญ เป็นข้ออ้างในการทำผิด หรือขัดขวางมนุษย์ซึ่งกันและกันอีกต่อไป
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลด้านการศึกษา ที่เราได้นำมาให้คุณถึงที่ในเว็บไซต์นี้
การเรียนภาษา อย่างไรไม่ต้องเก็บเข้ากรุ สามารถนำมาใช้งานได้จริง
คนวัยทำงานอย่างเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาษาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงาน คนวัยทำงานจึงนิยมเรียนภาษาต่างประเทศกันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น
แต่พอเรียนภาษากลับมาทีไรใช้งานไม่ได้จริง บางทีฟังเข้าใจแต่ตอบไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอย่างไร เลยเป็นใบ้ใส่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าต้องติดต่อลูกค้าต่างประเทศล่ะ โอ๊ย!!! ยิ่งไปกันใหญ่ วันนี้เราจึงอยากหาวิธีช่วยแนะนำให้ การเรียนภาษา ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนวัยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดังนี้
การเรียนภาษา ต้องหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกฟังและฝึกพูดไปพร้อมๆ กัน
การเรียนภาษา ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ข้อแรกที่อยากแนะนำ คือ ต้องมีความกล้า หลังจากคุณคนวัยทำงานเข้าคอร์สเรียนภาษาอย่างจริงจัง ถึงเวลาต้องฝึกการใช้ภาษาอย่างจริงจังเช่นกัน
หากคุณคนวัยทำงานมีเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนในแผนกข้างๆ เป็นชาวต่างชาติ คุณคนวัยทำงานต้องกล้าเข้าไปพูดคุยทักทายทุกวัน เพื่อให้คุณคนวัยทำงานคุ้นชินกับสำเนียงภาษาฝึกฟังและฝึกพูดไปพร้อมๆ กัน แต่ถ้าคุณไม่เพื่อนชาวต่างชาติเดี๋ยวนี้มีแอพฝึกภาษามากมายที่จะทำให้คุณได้พูดคุยกับเจ้าของภาษานั้นๆ
การเรียนภาษา ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ข้อที่สองที่อยากแนะนำ คือ หาความรู้เพิ่มเติมนอกจากการเรียนภาษาในคลาส
หากคุณคนวัยทำงานได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมเป็นภาษาต่างประเทศ คุณคนวัยทำงานควรเตรียมความพร้อมด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์หรือรูปประโยคต่างๆ ที่นิยมใช้ในการประชุม คุณคนวัยทำงานอาจเรียนภาษาเพิ่มเติมได้จากในคลิปยูทูป (YouTube) หรือหนังสือเรียนภาษาที่มีให้คุณคนวัยทำงานเลือกซื้ออ่านมากมาย
การเรียนภาษา ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ข้อที่สามที่อยากแนะนำ คือ การเรียนภาษาต่างประเทศมักมีคำศัพท์ คำแสลง รูปประโยค ที่ไม่เหมือนในตำราเรียน
ภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการที่อาจทำให้คุณคนวัยทำงานมีความสับสนมึนงง ลองแปลในกูเกิ้ล (Google) ก็ไม่เข้าใจ คุณคนวัยทำงานอย่าอายที่จะถามเพื่อนชาวต่างชาติ หรืออาจารย์ในคลาสเรียนภาษา
การเรียนภาษา สำหรับคนวัยทำงานจะใช้งานได้จริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่ามีความพยายามและความทุ่มเทมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย
ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษา ที่เราได้นำมาให้คุณถึงที่ในเว็บไซต์นี้
เรื่องน่าวิตกกังวลใจ เด็กออทิสติก กลัวคนสวมแมสก์
มีสายโทรศัพท์ดังขึ้นตลอดเวลา สายสอบถามของเราดังขึ้นตลอดเวลา เราคิดว่าการกลับไปโรงเรียนหลังจากออกจากคุกจะเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กหลายคนสำหรับ
เพราะ เด็กออทิสติก ที่มีความต้องการพิเศษด้านการศึกษาและความพิการ (ส่ง) และเราคิดถูก กฎของโคโรนาไวรัสหมายความว่าสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยมีการเปลี่ยนแปลง
เด็กออทิสติก ที่มีปัญหาสุขภาพจิตต้องได้รับความช่วยเหลือด้านการศึกษา
เด็กออทิสติก คนหนึ่งจะไม่ออกมาจากห้องนอน เพราะกังวลเกี่ยวกับเวลารับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนมากเกินไป เด็กหนุ่มอีกคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างมากขาดผู้ช่วยสอนที่ไม่สามารถพบเธอได้อีกต่อไปเพราะเธอถูกฟองสบู่แตก
ผู้เริ่มต้นใหม่ในแผนกต้อนรับซึ่งมีโรคย้ำคิดย้ำทำสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนในแมสก์และการจับไวรัส ผมพยายามทำให้มั่นใจอธิบายความท้าทายที่โรงเรียนกำลังเผชิญและแนะนำให้ผู้ปกครองติดต่อโรงเรียนและเปิดเผยและซื่อสัตย์กับพวกเขา พวกเขากลัวว่าหากไม่พาลูกเข้าโรงเรียนเจ้าหน้าที่ดูแลจะติดต่อกลับ
งานของผมคือ ช่วยเด็กและเยาวชนด้วย ด้านการศึกษาสุขภาพและการดูแลสังคมและผมสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำให้ระบบของเรายืดหยุ่นและตอบสนองต่อผู้ที่ต้องการได้อย่างไร
ผมพูดกับคุณแม่สามคนที่ลูก ๆ ควรจะเริ่มเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในวันนี้ พวกเขาไม่ต้องการส่งไปเพราะต้องการสถานที่ในโรงเรียนพิเศษเพื่อรองรับความต้องการที่ซับซ้อนและมีปัญหาของ เด็กออทิสติก โดยเฉพาะ พวกเขาทั้งหมดต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการตามกระบวนการส่งศาล
สำหรับผู้ปกครองที่มีความยากลำบากในการอ่านออกเขียนได้นี่เป็นงานที่น่ากลัว แม่แต่ละคนบอกผมว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้รับการสนับสนุนที่ดีที่สุด ผมเชื่อพวกเขา แต่ผมก็รู้ด้วยว่าผมต้องมีความเป็นกลางและมีเงินจำนวน จำกัด และมีสถานที่เรียนพิเศษไม่เพียงพอแม้ว่าหน่วยงานในพื้นที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มามากขึ้น ผมดีใจที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษา
ผู้ปกครองสามารถติดต่อเราได้หลายวิธี โทรศัพท์ส่วนใหญ่อีเมลจำนวนมากหรือใช้แบบฟอร์มบนเว็บและมีข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์ของเรา เราสงสัยว่าคนรุ่นใหม่อาจชอบสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับแชทบนเว็บหรือไม่ดังนั้นวันนี้ผมจึงมาดูเรื่องนี้
การโทรติดต่อที่ยากที่สุดในวันนี้คือกับแม่ที่ลูกถูกกีดกันอย่างถาวรจากโรงเรียนและกำลังดิ้นรนเพื่อเข้าร่วมหน่วยรับส่งต่อนักเรียนที่เขาถูกส่งไปเพราะมันทำให้เขากังวลมาก แม่ของเขารู้สึกว่าความต้องการของเขายังไม่ได้รับการตอบสนองหรือเข้าใจผมขอแนะนำให้ขอการประเมินจากนักจิตวิทยาการศึกษา การโทรและอีเมลยังคงมีเข้ามามากมาย
ซึ่งสังคมต้องมีการปรับตัวเรื่องของการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า เด็กออทิสติก ก็เช่นกัน
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้
มิลกรอม-วิลสัน ได้รับรางวัลโนเบล ด้านเศรษฐศาสตร์
รางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2020 มอบให้กับ พอล อาร์.มิลกรอม และ โรเบิร์ต วิลสัน “สำหรับการปรับปรุงทฤษฎีการประมูลและการประดิษฐ์รูปแบบการประมูลใหม่“ ของสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของสวีเดน ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
มิลกรอมและวิลสัน ซึ่งเป็นอาจารย์ทั้งสองคนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด “ได้ศึกษาวิธีการทำงานของการประมูลและใช้ข้อมูลเชิงลึกในการออกแบบรูปแบบการประมูลใหม่สำหรับสินค้าและบริการที่ยากต่อการขายในรูปแบบเดิม ๆ เช่นความถี่วิทยุ“ สถาบันการศึกษา กล่าวในแถลงการณ์
รางวัลโนเบล ด้านเศรษฐศาสตร์ กับการประมูลวัตถุที่มีมูลค่า
- การค้นพบของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ,ผู้ขาย และผู้เสียภาษีทั่วโลก
วิลสัน ได้พัฒนาทฤษฎีสำหรับการประมูลวัตถุที่มีมูลค่าร่วมกันซึ่งเป็นมูลค่าที่ไม่แน่นอนล่วงหน้า แต่ในท้ายที่สุดก็เหมือนกันสำหรับทุกคน ตัวอย่างรวมถึงมูลค่าในอนาคตของความถี่วิทยุหรือปริมาตรของแร่ธาตุในพื้นที่หนึ่ง ๆ
มิลกรอม กำหนดทฤษฎีทั่วไปของการประมูลที่ไม่เพียง แต่อนุญาตให้ใช้เฉพาะมูลค่าทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมูลค่าส่วนตัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละผู้เสนอราคาไปจนถึงผู้เสนอราคาอีกด้วย
แถลงการณ์กล่าวเพิ่มเติมว่าเขาวิเคราะห์กลยุทธ์การเสนอราคาในรูปแบบการประมูลที่รู้จักกันดีหลายรูปแบบซึ่งแสดงให้เห็นว่า รูปแบบจะทำให้ผู้ขายมีรายได้ที่คาดหวังสูงขึ้นเมื่อผู้เสนอราคาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลค่าโดยประมาณของกันและกันในระหว่างการเสนอราคา
นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสอง ได้คิดค้นรูปแบบใหม่สำหรับการประมูลวัตถุที่เกี่ยวข้องกันจำนวนมากพร้อมกันและในปี 1994 ทางการสหรัฐฯได้ใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อขายความถี่วิทยุให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประเทศอื่น ๆ ก็ปฏิบัติตามคำแถลงดังกล่าว
ปีเตอร์ เฟรเดริคสัน ประธานคณะกรรมการรางวัลอ้างในแถลงการณ์ว่า ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ในปีนี้เริ่มต้นจากทฤษฎีพื้นฐานและต่อมาได้นำผลของพวกเขาไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติซึ่งได้เผยแพร่ไปทั่วโลกการค้นพบของพวกเขาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคม
วิลสันกล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในสถานที่ว่า “เป็นข่าวที่น่ายินดีมาก“ และเขา “ดีใจมาก!“
มิลกรอมเกิดเมื่อปี 1948 คือเชอร์ลีย์และลีโอนาร์ด อีลิจูเนียร์ ศาสตราจารย์ด้านมนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
วิลสันเกิดในปี 1937 เป็นศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่มีชื่อเสียงของอดัมส์กิตติคุณมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รางวัลรวม 10 ล้านโครนาสวีเดนจะแบ่งเท่า ๆ กันระหว่างผู้ได้รับรางวัลทั้งสอง
สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานถึงนักวิทยาศาสตร์สองท่าน จากการค้นพบการแก้ไขจีโนมของพวกเขา Royal Swedish Academy of Sciences ประกาศเมื่อวันพุธ
รางวัลโนเบล ตกเป็นของ เอ็มมานูเอล คาร์เปนเทียร์ ของสถาบัน มักซ์ พลังซ์ ยูนิตของสถาบันวิทยาศาสตร์ พาโทเก้นส์ ในเยอรมันและเจนนิเฟอร์ เอ.ดูน่า จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ “สำหรับการพัฒนาวิธีการแก้ไขจีโนม“ ตามข่าวประชาสัมพันธ์จากสถาบันการศึกษา
ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้