Home » 2020 » October

Monthly Archives: October 2020

ปัญหารูมเมทสุ่ม ที่อาจจะมีข้อเสียเกิดขึ้น

การอยู่มหาวิทยาลัย เราสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่หอพัก ถ้าหากคนที่บ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหน่อยก็คงจะเลือกบ้าน แต่ถ้าหากคนที่เลือกมาเรียนไกลบ้าน ก็ต้องเลือกอยู่หอพัก ซึ่งหอพักมีทั้งที่เป็นอยู่ภายในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย โดยหอพักภายในมหาวิทยาลัยนั้น จะมีแยกระหว่างหอพักนักศึกษาผู้ชายและนักศึกษาผู้หญิง

ซึ่งแต่ละห้องนั้นเราก็จะมีรูมเมท คือผู้ที่จะมาร่วมแชร์พื้นที่ห้องกัน อย่างน้อย 2-3 คน การอยู่หอพักภายในมหาวิทยาลัยนั้น เราไม่สามารถเลือกรูมเมทด้วยตนเอง รูมเมทจะเกิดจากการสุ่มนั่นเอง ทำให้เราไม่ทราบเลยว่าใครจะเป็นรูมเมทของเรากัน ทำให้ปัญหาต่างๆอาจจะเกิดขึ้นได้ บทความนี้จึงมาบอกเล่าเกี่ยวกับ ปัญหารูมเมทสุ่ม และข้อเสียจากการมีรูมเมทที่เกิดจากการสุ่มกัน ดังนี้

ปัญหารูมเมทสุ่ม
College dorm life

ปัญหารูมเมทสุ่ม ต้องเตียมรับมือเมื่อเกิดปัญหา

ปัญหารูมเมทสุ่ม ปัญหาข้อแรก ก็คือ เข้ากันไม่ได้ คำนี้ไม่เพียงแต่คู่รักที่จะใช้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายบริบท รวมถึงรูมเมทอีกด้วย เมื่อเราไม่รู้ถึงนิสัยใจคอ ไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิตส่วนตัวของรูมเมท เมื่อไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตในห้องต่างๆกัน จะทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมห้องกันได้ ดังนั้นปัญหาต่างๆก็จะเกิดขึ้นมาได้เช่นกัน

ปัญหารูมเมทสุ่ม ปัญหาข้อที่สองก็คือ อึดอัด หลายคนที่เคยอาศัยอยู่ที่บ้าน ก็จะมีห้องนอนส่วนตัวเป็นของตนเอง แต่เมื่อมาอยู่หอพัก เราจะไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกต่อไป เพราะเราจะต้องแชร์พื้นที่ห้องให้แก่ผู้อื่นด้วย นั่นคือ รูมเมท ยิ่งถ้าหากรูมเมทที่มีนิสัยไม่ดี จะทำให้เรารู้สึกอึดอัดในการอยู่ในห้อง รู้สึกแย่ ไม่มีความสุข ทั้งๆที่มันควรจะเป็นสถานที่ที่ให้เราได้พักผ่อนจากการเรียนหนักๆในแต่ละวัน

ห้องสกปรก

ปัญหารูมเมทสุ่ม ปัญหาข้อที่สาม ก็คือ ห้องสกปรก เชื่อว่าหลายๆคนมักจะเคยเจอรูมเมทที่ไม่รักษาความสะอาด เช่น ทิ้งขยะไม่เป็นที่ เกลื่อนกลาดตามพื้นห้อง ไม่กวาดขยะ ไม่ปัดฝุ่น ไม่ทำความสะอาดห้องน้ำ เป็นต้น อาจจะเกิดจากการที่เป็นรูมเมทที่เราคาดหวังไม่ได้ ทำให้เราไม่สามารถที่จะจัดการหรือพูดคุยกับพวกเขาได้

ไม่ให้เกียรติ

ปัญหารูมเมทสุ่ม ปัญหาข้อที่สี่ ก็คือ ไม่ให้เกียรติ รูมเมทที่มีนิสัยที่ไม่ดีนั้นมีมากมาย เช่น การใช้ของของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต เสียงดัง เปิดไฟในกลางดึก ไม่มีความเกรงใจ เป็นต้น ซึ่งถ้าหากเรามีรูมเมทที่เราเลือกเอง เราจะสามารถพูดคุยและทำข้อตกลงกับพวกเขาได้ง่ายกว่ารูมเมทที่สุ่ม 

ติดตามข้อมูลด้านการศึกษาที่เป็นประเด็นสำคัญ ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้

รูมเมทจากการสุ่ม ที่อาจจะมีข้อดีแต่อาจจะคาดเดาไม่ได้

การเลือกอยู่หอพัก มักจะมีปัจจัยหลายๆอย่างมาทำให้คิดหนักหรือลำบากใจอยู่เสมอ เช่น ลักษณะของห้อง ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในห้อง รวมไปถึงรูมเมท

ซึ่งถ้าหากใครที่เลือกรูมเมทด้วยตนเองนั้น ปัญหาอาจจะเกิดน้อยกว่ารูมเมทที่มาจากการสุ่ม เรามักจะเห็นบ่อยๆในหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสังคมที่ค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตา จึงทำให้ผู้ที่เลือกจะอยู่ในหอพักในมหาวิทยาลัยจะต้องเตรียมใจในการเจอรูมเมทที่ตนเองไม่ได้ตัดสินใจเลือกมาร่วมอยู่และแชร์พื้นที่ภายในห้องอีกด้วย ซึ่งการที่มี รูมเมทจากการสุ่ม นั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาคือใคร? ลักษณะนิสัยเป็นเช่นไร? ทำให้การมีรูมเมทจากการสุ่มนั้นมีข้อดี ดังนี้

รูมเมทจากการสุ่ม

รูมเมทจากการสุ่ม ที่มีวิธีในการอยู่ร่วมกับรูมเมท

รูมเมทจากการสุ่ม โดยข้อดีข้อแรก คือ การปรับตัว การมีรูมเมทใหม่ที่เราเคยได้เจอมาก่อน สิ่งที่จะทำให้เรากับเขาเข้ากันได้ก็คือ การเรียนรู้การปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการเข้าสังคม การที่เราไม่รู้จักกับรูมเมทมาก่อนจะทำให้เราต้องพยายามทำความรู้จักเขา และหาวิธีในการอยู่ร่วมกับรูมเมทให้ได้

รูมเมทจากการสุ่มจะได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น

รูมเมทจากการสุ่ม โดยข้อดีข้อที่สอง คือ ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น ในการอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยหรือที่อื่นๆนั้น การมีรูมเมทที่เกิดจากการสุ่ม จะทำให้เราพบเจอคนใหม่ๆ ได้รู้จักและถ้าหากเรากับเขาเข้ากันได้ดี จะทำให้เราเหมือนได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ที่เราได้รู้ถึงนิสัยใจคอ ความเป็นอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว หรือไลฟ์สไตล์ต่างๆที่เพื่อนของเราหลายๆคนยังไม่เคยทราบมาก่อน

รูมเมทจากการสุ่ม โดยข้อดีข้อที่สาม คือ การจัดการที่ดี เมื่อเราและเขาได้อยู่ร่วมกันภายในห้อง เราจะต้องมีการจัดการหน้าที่ต่างๆในห้องที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น การทำความสะอาด การทิ้งขยะ การดูแลห้องน้ำ เป็นต้น ซึ่งถ้าหากรูมเมทของเราไม่สามารถจัดการได้ เราจะต้องสามารถวางแผนเพื่อมอบหมายหน้าที่ต่างๆให้ทั้งตัวเราเองและรูมเมทอย่างยุติธรรม

การอยู่ร่วมกับรูมเมท

รูมเมทจากการสุ่ม โดยข้อดีข้อที่สี่ คือ การแก้ไขปัญหา ถ้าหากเราไปเจอรูมเมทที่ไม่ดีหรือนิสัยแย่ เราอาจจะคิดว่านั่นคือข้อเสียของการมีรูมเมท แต่เมื่อเรากลับมุมมอง ทำให้เราพบว่าการที่เรามีรูมเมทที่ไม่ดีนั้น จะทำให้เราสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ไขสิ่งต่างๆให้ดี และหาวิธีในการอยู่ร่วมกันได้ดีกว่าผู้อื่น

ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ที่เข้าใจกันและรู้ใจกันทุกเรื่อง

จากมัธยมสู่มหาวิทยาลัย หลายคนก็เริ่มที่จะหาหอพักในการอยู่อาศัย เพราะสาเหตุหลายๆอย่าง เช่น มหาวิทยาลัยไกลจากบ้าน หอพักสะดวกกว่าอยู่บ้าน ลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตดูบ้าง เป็นต้น

ซึ่งไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตาม เมื่อเราคิดถึงหอพักภายในมหาวิทยาลัย เราก็มักจะคิดถึง “รูมเมท” ซึ่งรูมเมทเป็นคนที่เข้ามาร่วมแชร์พื้นที่ภายในห้องพักอาศัย มีทั้งรูมเมทที่เลือกได้ด้วยตนเอง และรูมเมทที่ได้จากการสุ่ม ซึ่งถ้าหากได้รูมเมทจากการที่เราเลือกได้ด้วยตนเอง ซึ่งคนที่เราจะเลือกอยู่ด้วยส่วนใหญ่ก็คือเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในแก๊ง โดยจะมีคามสนิทและอยู่ด้วยกันมานาน บทความนี้จึงจะมาบอกถึงมี ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ที่เราตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง

ข้อดีของเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ที่สนิทกันจนรู้นิสัยใจคอ

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ข้อดีข้อแรก ก็คือ รู้จักกันมาอยู่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าหากเราจะเลือกคนที่อยู่ด้วยสักหนึ่งคน เรามักจะเลือกเพื่อนสนิทของเรามาเป็นรูมเมทด้วยกัน เพราะด้วยความที่เรารู้จักเพื่อนสนิทในระดับที่มากกว่าเพื่อนทั่วไป เราเชื่อใจเขา เรามีความสุขที่จะอยู่กับเพื่อนสนิท

เพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ข้อดีข้อที่สองก็คือ พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เมื่อรูมเมทที่เรารู้จักเป็นอย่างดี เราจะสามารถกล้าที่จะพูดคุยหรือมอบหน้าที่ต่างๆภายในห้องได้ง่ายกว่ารูมเมทที่ได้จากการสุ่ม เช่น หน้าที่ทำความสะอาดภายในห้องและห้องน้ำ กวาดขยะ ทิ้งขยะ เป็นต้น ทำให้การเป็นอยู่ภายในห้องเป็นระบบและระเบียบมากยิ่งขึ้น

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ข้อดีข้อที่สาม ก็คือ รู้เขารู้เรา การมีเพื่อนสนิทที่เป็นรูมเมทด้วยนั้น เป็นสิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่ง เพราะเพื่อนสนิทจะรู้ถึงนิสัยใจคอของเราในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้มีการปรับตัวเข้าหากันน้อยลง อีกทั้งมีความเกรงใจที่สามารถเข้าใจกันได้ เช่น ไม่เสียงดังถ้าหากเรากำลังอ่านหนังสือ ไม่เปิดไฟถ้าหากไม่จำเป็นในกลางดึก

เพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ที่สนิทสนมกันมาก

ข้อดีสำหรับการมีเพื่อนสนิทเป็นรูมเมท ข้อดีข้อที่สี่ ก็คือ ไม่อายกัน ฟังก์ชั่นที่มีมากกว่า ในกรณีที่เราสนิทกับเพื่อนมากๆจนถึงขนาดไม่มีความอายหรือสิ่งใดมากั้น ก็อาจจะทำบางสิ่งได้มากกว่าในขณะอยู่ภายในห้อง ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่บ้านบางคนอาจจะไม่สวมใส่ชุดชั้นในในขณะนอนหลับ เมื่อมาอยู่หอพักที่มีรูมเมทที่ไม่เคยรู้จัก การนอนหลับแบบเดิมก็ไม่สามารถกระทำได้ แต่หากเรามีรูมเมทที่รู้ใจกัน สนิทกัน เราสามารถที่จะไม่สวมชุดชั้นในในการนอนหลับได้

ติดตาม ข่าวการศึกษาไทย ที่ทันสมัยครบทุกประเด็กสำคัญได้ที่เว็บไซต์นี้

เคล็ดลับการเรียนเก่ง ขั้นเทพ ทำได้ทุกคน และเห็นผลทันตา!!

     บางคนสงสัยว่าเรียนก็เรียนเหมือนกัน  แถมบางทียังขยันกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ  แต่ทำไมถึงเรียนไม่เก่งเหมือนเพื่อนบางคน  เราขอแนะนำ เคล็ดลับการเรียนเก่ง ขั้นเทพดีๆ มาบอก

เคล็ดลับการเรียนเก่ง ที่ได้ผลดีที่สุดและนำไปใช้ได้จริง

    เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการแรกที่อยากแนะนำ คือ เชื่อมั่นก่อน เลิกโปรแกรมตัวเองได้แล้วว่าเราเรียนไม่เก่ง  สู้เพื่อนเขาไม่ได้  ลองคิดดูละกันว่าคนเรียนไม่เก่งหลายคนหรือแม้แต่เกเร  สอบตก  สามารถกลายเป็นคนเรียนเก่งได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน  ดังนั้นหากเราพยายามเราต้องทำได้  ไม่ว่าใครก็ทำได้!

ดูแลสุขภาพ

      เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่สองที่อยากแนะนำ คือ ดูแลสุขภาพ ควรดูแลสุขภาพให้พร้อม  แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจก่อน  หากแฮปปี้กับตัวเองแล้ว  จะเรียนจะเล่นสุดฤทธิ์แค่ไหนก็พร้อมล่ะ!

กล้าแสดงออก

     เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่สามที่อยากแนะนำ คือ กล้าแสดงออก อย่ากลัวๆเคล็ดลับเรียนเก่งขั้นเทพที่ไม่ทำไม่ได้ก็คือ  การถามครูบาอาจารย์เมื่อเกิดความสงสัยหรือไม่มั่นใจในเนื้อหาวิชานั้นๆ  อย่าอายเพราะเป็นสิทธิประโยชน์ของเราเอง  เมื่อถามแล้วเพื่อนๆ ที่ไม่ (กล้า) ถามยังได้ความรู้ตามไปอีกด้วยนะ

แบบฝึกหัด

      เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่สี่ที่อยากแนะนำ คือ แบบฝึกหัด ยิ่งฝึกบ่อยๆ เป็นอีกวิธีเรียนเก่งง่ายๆ ที่หลายคนไม่รู้ก็คือการทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ ซึ่งช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจ  สร้างความมั่นใจในการเรียนและการสอบได้อีกด้วย  มีให้เลือกมากมายตามร้านหนังสือหรือเว็บไซต์เกี่ยวกับการศึกษาครับ      

ย่อเนื้อหาที่สำคัญ

      เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่ห้าที่อยากแนะนำ คือ ย่อเนื้อหาที่สำคัญ ยิ่งย่อยิ่งดี สงสัยไหมว่าเพื่อนบางคนเรียนยังไงให้ได้เกรด 4  เคล็ดลับของเขาก็คือการเสียเวลาสักหน่อยในการทำโน้ตย่อเนื้อหาในวิชาที่สำคัญหรือไม่มั่นใจ  เช่น  คณิต  วิทย์  อังกฤษ  จึงไม่ต้องตะลุยอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ ซึ่งเสียเวลามาก

      แนะนำให้ทำโน้ตย่อด้วยภาษาง่ายๆ ที่เป็นตัวเอง  อาจใช้การไฮไลต์ข้อความสำคัญหรือวาดรูประบายสีให้สวยงามด้วยยิ่งดี  เสมือนเป็นคัมภีร์ที่น่าอ่านและน่าหยิบยืมเผื่อแผ่เพื่อนๆ ด้วยครับ 

ช่วยกันแชร์

      เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่หกที่อยากแนะนำ คือ ช่วยกันแชร์ วิธีเรียนเก่งง่ายๆ อีกวิธีก็คือ  เมื่ออ่านหนังสือทบทวนหรืออ่านหนังสือติวสอบ  หากอ่านคนเดียวมีแต่จะหลับหรือเลิกกลางคัน  ควรหาเพื่อนร่วมกันอ่านช่วยกันติวเป็นกลุ่มใหญ่ๆ  ผลัดกันถามผลัดกันตอบ  น่าสนุกดีครับ

จัดมุมโปรด

     เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่เจ็ดที่อยากแนะนำ คือ จัดมุมโปรด การหามุมดีๆ ในการทบทวนเนื้อหาวิชา  ทำการบ้าน  หรือทำรายงาน  สามารถสร้างสมาธิและความเพลิดเพลินได้ง่ายๆ  เช่น  สวนหลังบ้าน  สวนสาธารณะ  ห้องสมุด  หรือคาเฟ่เงียบๆ

   เคล็ดลับการเรียนเก่ง ประการที่แปดที่อยากแนะนำ คือ การให้รางวัลตัวเอง หรือติดสินบน หมายถึงติดสินบนตัวเองด้วยรางวัลเล็กๆ น้อยๆ  เช่น  เค้กสักชิ้น  เสื้อสวยๆ สักตัว  ปากกาดีๆ สักด้าม  หากขยันขึ้นหรือทำคะแนนได้ดีขึ้น  สิ่งนี้จะช่วยสร้างกำลังใจในการเปลี่ยนตัวเองให้เรียนเก่งได้ต่อไป        

ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้

ปัญหาด้านการเรียน ที่เรียนไม่เข้าใจ หาสาเหตุเพื่อแก้ไขให้เรียนเก่งขึ้น

      ไม่ว่าน้องๆ หนูๆ จะเรียนอยู่ในระดับชั้นใดซึ่งกำลังมี ปัญหาด้านการเรียน ที่ไม่เข้าใจ  หรือแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเรียน  ซึ่งกำลังสืบหาสาเหตุของการเรียนไม่เก่งในบุตรหลานอยู่  เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา  เลิกกังวลได้แล้วเพราะเรามีคำตอบมาไขให้กระจ่างครับ

ปัญหาด้านการเรียน

สาเหตุของปัญหาด้านการเรียน หรือสาเหตุที่เรียนไม่รู้เรื่อง 

ปัญหาครอบครัว

     ปัญหาด้านการเรียน ปัญหาสำคัญประการแรกที่ส่งผลในด้านการเรียนของลูก คือ ปัญหาครอบครัว เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้นักเรียนนักศึกษาเรียนไม่เก่ง  เรียนไม่เข้าใจ  เพราะจิตใจเอาแต่จดจ่ออยู่กับปัญหาที่บ้าน  แทนที่จะเป็นการตั้งใจเรียนในสถานศึกษา  อีกทั้งยังกระทบต่อพฤติกรรมและสุขภาพจิตด้วย 

การขาดสมาธิ

     ปัญหาด้านการเรียน ปัญหาสำคัญประการที่สองที่ส่งผลในด้านการเรียนของลูก คือ การขาดสมาธิ หลายคนที่เรียนไม่เก่ง  เรียนไม่เข้าใจ  เป็นเพราะขาดสมาธิในการเรียน  จึงทำให้จดจำเนื้อหาในการเรียนไม่ครบถ้วนหรือเกิดความสับสนได้  จึงต้องหมั่นฝึกสมาธิด้วยวิธีการเหล่านี้  ได้แก่ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม จะช่วยทำให้มีความตั้งใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น 

โดยอาจจะต้องพยายามไม่ทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกัน  เพื่อจะได้เพ่งสมาธิจดจ่อในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งนั่นเอง ฝึกอ่านหนังสืออะไรก็ได้ให้จบบทหรือจบเล่มในคราวเดียว ลแะอาจจะกินอาหารบำรุงสมองเป็นประจำ เช่น ปลาทะเลน้ำลึก นม ถั่ว ธัญพืช  ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

ยึดติดบางวิชา

     ปัญหาด้านการเรียน ปัญหาสำคัญประการที่สามที่ส่งผลในด้านการเรียนของลูก คือ ยึดติดบางวิชา เชื่อว่าหลายคนมีวิชาในดวงใจ  และมีวิชาที่ไม่อยู่ในหัวใจ  รักชอบวิชาไหนก็ตั้งใจเรียนและทำคะแนนได้ดี  ส่วนวิชาไหนที่ไม่รักไม่ชอบก็พานไม่ตั้งใจเรียนเสียอย่างนั้น  ซึ่งผลกระทบของการไม่ตั้งใจเรียนในบางวิชาจึงทำให้วิชานั้นๆ ได้คะแนนไม่ดีหรือสอบตก  ส่งผลให้ยิ่งฉุดกำลังใจและความมั่นใจที่จะแก้ไขอีกด้วยครับ

ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม

     ปัญหาด้านการเรียน ปัญหาสำคัญประการที่สี่ที่ส่งผลในด้านการเรียนของลูก คือ ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม หลายคนอาจตั้งคำถามว่าจะเรียนไปทำไม?  เพราะเรียนไปก็ (อาจ) ไม่ได้ใช้ความรู้นั้นๆ เรียนไปก็ออกไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง  จึงเป็นเหตุผลที่ไม่อยากเรียน  ทำให้เรียนไม่เก่ง  เรียนไม่เข้าใจในที่สุด   

   ซึ่งคำตอบที่ว่าเรียนไปทำไมก็คือ  เราเรียนเพื่อขัดเกลาทักษะของตัวเองให้พร้อมเพื่อก้าวสู่สังคมการทำงานและการใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ต่อไป  ไม่ว่าจะเป็นทักษะการคิดวิเคราะห์  การตัดสินใจ  การแก้ไขปัญหา  การเข้าสังคม  การเอาตัวรอด  ซึ่งล้วนมาจากเนื้อหาวิชาการที่เรียนในสถานศึกษาทั้งสิ้นครับ 

ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย แนวโน้มในเรื่องของการศึกษา คิดอย่างไรกับ การศึกษาของไทยใน ปัจจุบัน

ระบบการศึกษา ที่ไม่ได้บอกถึงความสำเร็จ ที่แท้จริง!!

ระบบการศึกษาไม่ใช่ตัวชี้วัดความเก่ง

จริงหรือเปล่าครับที่หลาย ๆ คนบอกว่าเด็กที่สอบตกนั้นถือว่าเป็นเด็กโง่ และดูท่าทางจะไม่มีอนาคต ตอนเด็กผมก็เคยคิดแบบนั้นเช่นกันการที่สอบได้คะแนนดีจะทำให้อนาคตมันเต็มไปสิ่งที่ประสบความสำเร็จแต่คนที่สอบได้คะแนนไม่ดีก็จะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ซึ่งคะแนนสอบของเด็กนักเรียนก็เป็นสิ่งที่หลายคนนั้นใช้วัดคุณค่าในตัวเด็กคนนั้นไปแล้ว อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาวัดว่าใครมีศักยภาพที่เก่งกว่าใคร

เพราะ ระบบการศึกษา ให้ความสำคัญเพียงแค่ข้อสอบและคะแนนสอบในโรงเรียนเท่านั้น เพื่อนำมาแค่ตัวชี้วัดของการศึกษาด้านทักษะและความรู้ของเหล่านักเรียนทุก ๆ คนเพียงแค่นั้น เพราะว่าพอผมโตขึ้นมาแล้วผมก็ได้รู้ว่าวิชาที่เราได้ในช่วงที่เราอยู่ในโรงเรียนนั้นบางวิชาก็ไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริง

ระบบการศึกษา

ระบบการศึกษา ที่ต้องเน้นไปที่ประสบการณ์ เพราะมันมีค่ามากกว่าความรู้

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆที่ ระบบการศึกษา นั้นมีรูปแบบการศึกษาให้กับนักเรียนทุกๆคนเหมือนกัน ทั้งที่เด็กแต่ละคนมีศักยภาพและความสามารถที่แตกต่างกัน แต่ดันต้องมาเรียนใน ระบบการศึกษา ที่เหมือนกันทำให้บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เห็นศักยภาพในตัวเขาและยิ่งไปกว่านั้นมันอาจจะทำให้ตัวของเด็กนักเรียนคนนึงไม่สามารถหาความเป็นตัวของตัวเองได้ว่าตัวเองนั้นชอบอะไร 

ระบบการศึกษา ที่ต้องเน้นไปที่ประสบการณ์
  • ระบบการศึกษา ที่ต้องเน้นไปที่ประสบการณ์

โดยเราต้องมาเปลี่ยน ระบบการศึกษา ที่มันเห็นผลและสามารถประสบความสำเร็จได้จริง เมื่อคืนผมได้ดูคลิปหนึ่งของช่อง Startyourway เป็นช่องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับทางด้านการเงินความสามารถของคนแต่ละคน ซึ่งคิดของช่องนี้มีชื่อปกคลิปว่า ลองให้คนที่มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือนทำข้อสอบของเด็กป 6 ซึ่งเป็นคลิปเกี่ยวกับการศึกษา  และในคลิปเป็นการนำข้อสอบระดับชั้นป 6 มาให้ผู้ที่ชมคลิปทำทั้งหมด 10 ข้อ  ซึ่งตัวผมก็ทำได้แค่เพียง 4 ข้อจริงๆแล้ว 5 ครับแต่ว่ามั่วไปข้อนึงแล้วดันถูก ผลสรุปก็คือคนที่ทำได้ 9 เต็ม 10 ถือว่าได้เกรด 4  8 เต็ม 10  เกรด 3 7 เต็ม 10  เกรด 2 และ 6 เต็ม 10 ได้เกรด 1 ซึ่งผมก็สอบตกนั่นเอง

ระบบการศึกษาไม่ได้วัดแค่การสอบเท่านั้น
  • ระบบการศึกษา ที่ไม่ได้วัดแค่การสอบเท่านั้น

โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นบทความของ ระบบการศึกษา ที่ทุกคนบอกว่าคนที่สอบตกนั้นจะไม่สามารถมีอนาคตได้ คำพูดนี้มันไม่ได้เป็นจริงแต่อย่างใด คนที่สอบตกอาจจะมีทักษะในด้านอื่น ๆ เก่งกว่าคนที่สอบผ่านก็ได้ เพราะประสบการณ์นั้นบางครั้งก็มีค่ามากกว่าความรู้ และความรู้บางความรู้ที่เราได้เรียนจากในห้องเรียนก็ไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริง 

ระบบการศึกษาที่ไม่ได้วัดแค่เรียนเก่ง
  • ระบบการศึกษา ที่ไม่ได้วัดแค่เรียนเก่ง

เพราะปัจจุบัน ระบบการศึกษา มันแสดงให้เห็นว่าในด้านของการศึกษาบางครั้งเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง แต่จะมีบางอย่างที่เราเก่งกว่าคนอื่น เพื่อนผมไม่ใช่เป็นคนที่เรียนเก่ง แต่ทักษะในการซ่อมสิ่งต่าง ๆ นั้นเก่งมากกว่าผมซะอีก และ วิชาบางวิชาที่เราตั้งใจเรียนก็ไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริง ส่วนวิชาบางวิชาที่เราไม่ได้ตั้งใจเรียนก็กลับนำมาใช้ในชีวิตจริงซะงั้น ประสบการณ์มันก็คงสำคัญพอๆกับความรู้ทางด้านการศึกษานั่นแหละ

ถ้าหากเราเรายังเข้าใจใน ระบบการศึกษา ที่บางคนมีความรู้แต่ไม่มีประสบการณ์มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ถ้าเรามีประสบการณ์แต่ไม่มีความรู้การทำงานในสถานที่ที่เป็นองค์กรใหญ่ๆก็คงจะลำบากมากเช่นกัน บางครั้งผลการเรียนก็ไม่ใช่จุดพิสูจน์ว่าเด็กคนไหนโง่ เพราะบางทีคนที่สอบตกก็มีเงินเดือน 30,000 บาทได้เช่นเดียวกันกับคนที่สอบผ่าน โดย ระบบการศึกษา ที่ไม่สำเร็จ เป็นเพราะการที่เราจะประสบความสำเร็จมันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า…..ไม่ใช่ข้อสอบ นั่นเอง

ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย การเรียนเสริมทักษะ อย่างไรให้เหมาะกับลูกเรา

แนวโน้มในเรื่องของการศึกษา คิดอย่างไรกับ การศึกษาของไทยใน ปัจจุบัน

แนวโน้มในเรื่องของการศึกษา ที่หลายฝ่ายตั้งประเด็นคำถาม ว่าจะมีแนวทางไปในทิศทางใด โดยความคิดในเรื่องของ การศึกษาของไทย ที่ได้รวบรวมมาในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของความคิดจากนักเรียนและนักศึกษาซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ที่จะทำการปฏิรูปให้ระบบการศึกษาในประเทศไทยนั้นเทียบเท่านานาอารยประเทศ

การศึกษาของไทย

ความคิดเห็นของนักเรียน ในด้านการศึกษาของไทย

การศึกษาของไทย นักเรียนส่วนใหญ่บอกว่า ค่อนข้างกำจัดกรอบในทางความคิดมากจนเกินไป และบางครั้งความเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนานในเรื่องของการเชื่อฟังอาจารย์ก็เป็นส่วนหนึ่งทำให้นักเรียนนั้นแสดงความคิดเห็นได้ไม่เต็มที่โดยหลักสูตรก็บีบให้นักเรียนต้องทำตามทั้งหมดโดยไม่สามารถคิดอะไรเองได้เลย

ความคิดเห็นของนักเรียน ในด้านการศึกษาของไทย

              การศึกษาของไทย นักเรียนส่วนใหญ่บอกว่า โดยการเรียนปัจจุบันเหมือนให้ ท่องจำมากกว่าที่จะทำความเข้าใจ มันไม่ได้ทำให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร เพราะบางครั้งอาจจะเห็นว่าการข้ามชั้นการศึกษาจาก ม.1 ถึง ม, 2  ถึงจะสอบตก แต่ยังไงก็ตาม ยังสามารถเลื่อนขั้นได้อยู่ดี และนักเรียนก็ไม่มีความกระตือรือร้นในการที่จะเรียนหนังสือ ดังนั้นควรมีการซ้ำชั้นหรือไม่ก็มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามันต้องเรียน หรือว่ากระตือรือร้นในการเรียนมากกว่านี้

การศึกษาของไทย ประเด็นต่อมาสำหรับความคิดของนักเรียนที่มองว่าค่อนข้างที่จะ เน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ เช่น สมมุติว่าคิดเลข ถ้าเป็นต่างประเทศ เขาจะเน้นว่าเขาจะคิดยังไง มีวิธีการคิดยังไง แต่ การศึกษาของไทย เน้นคำตอบที่ถูกต้องมากกว่า เมืองไทยเขาวัดคะแนนที่ผลลัพธ์มากเกินไป

การศึกษาของไทย เน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ

จนสุดท้าย การศึกษาของไทย ไม่สามารถครบวงจรในโรงเรียนได้จนเด็กต้องออกมาเรียนพิเศษ เด็กที่วาดรูปเก่งเขาไม่ได้รับการสนับสนุนเลย พ่อแม่ก็พยายามให้ลูกเก่งเลข เก่งวิทย์ บีบบังคับให้เรียนสายวิทย์ ดูเป็นการกำจัดกรอบ จริงๆแล้วเขาอาจจะเก่งอย่างอื่นที่เขาสนใจแต่ไม่ได้โดนสนับสนุน

ในอนาคตอยากให้การศึกษาของไทยเป็นอย่างไร

ประเด็นนี้นักเรียนบอกว่า อยากจะให้อนาคต การศึกษาของไทย ปรับเปลี่ยนหลักสูตรบางเรื่องมันไม่ได้ใช้ น่าจะเป็นสิ่งที่นักเรียนชอบและเป็นสิ่งที่ใช้ในอาชีพ บางวิชามันไม่ได้ใช้เลย เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ อยากให้มีคอร์สแบบค้นพบตัวเองมากกว่า คือให้มีช่วงเวลาของกิจกรรมที่ให้ได้คิดมากขึ้น ได้ทำอะไรที่เป็นการทำงานจริงๆ กิจกรรมจะอยู่ในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนก็ได้ 

สิ่งที่สำคัญคือ ควรปรับหลักสูตร เพราะว่าเด็กแต่ละคนก็มีความสามารถมีความสนใจที่ไม่เหมือนกัน การที่เราคิดให้เขาเรียน เป็นเด็กที่ไม่ชอบแล้ว เอาเวลาไปทำในสิ่งที่มันเป็นช่วงส่งเสริมเขา จะมีแรงบันดาลใจในการเรียนมากกว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาและประเทศชาติในอนาคตได้มากกว่า นี่คือความคิดของนักเรียนต่อระบบ การศึกษาของไทย แล้วในฐานะผู้ใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาญ คิดอย่างไรกับการศึกษาไทยในปัจจุบัน 

ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย การเรียนรู้ใหม่ แบบ New Normal เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล สนุกกับการเรียนรู้ที่หลากหลาย

การเรียน คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล มักจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เรียนเตรียมอนุบาลเลยก็ว่าได้ หรือบางคนพ่อแม่ก็มักจะสอนเมื่อเริ่มพูดแล้ว

โดยเริ่มจากการที่ให้เด็กได้เรียนรู้จำนวนของตัวเลข เริ่มให้จำจากเลขที่มีค่าน้อยสุดไปจนถึงเลขมาก เพื่อให้เด็กไม่เกิดความสับสน ซึ่งการเรียน คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล ในเด็กเล็กนี้ ก็มีวิธีการหลากหลายเพื่อให้เด็กสนใจในการเรียนรู้ แบบไม่น่าเบื่ออีกด้วย

คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล พัฒนาการทางสมองฝึกฝนให้เด็กเรียนรู้ได้เร็ว

ซึ่งวิธีการสอน คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล บางคนก็ต้องข้อสงสัยว่าพวกเขาจะจำได้หรือ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อเด็กเขาได้เรียนรู้เร็ว จะทำให้พัฒนาการของวิชาคณิตศาสตร์ นั้น มีความก้าวหน้ากว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนเสียอีก โดยเริ่มต้นจากการให้เขารู้จักค่าของตัวเลขก่อน เริ่มต้นจาก 1 – 3 แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเมื่อเด็กมีความคล่องแคล่วกับตัวเลขที่เราได้สอนไปแล้ว 

คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล พัฒนาการทางสมอง

              นอกจากการเรียนรู้ค่าของตัวเลขแล้ว การนับสิ่งของก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เด็กรู้กับจำนวนอย่างแท้จริง เพราะการนับสามารถบอกค่าของจำนวนของได้ อย่างตั้งโจทย์ให้เขานับสิ่งของ เช่น เราใส่ไข่ไปในตะกร้าแล้วก็ให้เขานับไข่ว่ามีอยู่กี่ใบ หรือ การนับลูกบอลพร้อมแยกสีว่าแต่ละสีมีกี่ลูก ซึ่งวิธีการนี้ก็ให้เริ่มจากจำนวนที่น้อย ๆ ก่อน ค่อยฝีกเขาจนกว่าจะเข้าใจ แล้วค่อยเลื่อนลำดับขึ้นไป เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่ายากนั้นเอง เมื่อเขามีความรู้สึกว่าฉันทำได้ ก็จะทำให้เขาชอบวิชาคณิตศาสตร์ไปในตัว

คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล ต้องมีพื้นฐานที่ดี

              โดยการเริ่มต้นเรียน คณิตศาสตร์ในวัยอนุบาล นั้น หากลูกของเรามีพื้นฐานที่ดีก็จะช่วยส่งผลไปยังตอนโต เพราะทำให้เขาเรียนรู้ในเรื่อง ของการบวก ลบ คูณ หาร การแบ่งจำนวนได้ง่าย ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเรียนในอนาคต และเมื่อเข้า ป.1 แน่นอนกว่าการเรียนคณิตศาสตร์นั้นจะมีความยากความซับซ้อนเข้าไปอีก ถ้าเขามีความเขาใจตั้งแต่ทีแรกก็จะทำให้เขาสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ไปเอง    

ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย การปลูกจิตสำนึกในเด็ก รากฐานสำคัญในวัยเด็ก

การเลือกคณะที่ไม่ใช่ ของเด็กม.6 ส่งผลเสียตามมาทีหลัง

เมื่อเด็กๆถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเรียกสั้นๆว่าน้องม.6 ก็จะต้องมีการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย

โดยเด็กหลายคนก็จะมีคณะในดวงใจ สาขาที่ชอบ และมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันกัน แต่หลายครั้งที่เรามักจะเห็นว่าเด็กม.6ที่มี การเลือกคณะที่ไม่ใช่ ไม่ถูกใจตนเองหรือเลือกคณะที่ตนเองไม่สามารถเรียนได้ ก็มักจะลงเอยด้วยหลายอย่าง เช่น

การเลือกคณะที่ไม่ใช่

การเลือกคณะที่ไม่ใช่ หรือไม่สามารถเรียนได้จึงต้องมีการวางแผนก่อน

การเลือกคณะที่ไม่ใช่ หรือเป็นการซิ่ว เพราะเมื่อเด็กม.6 ที่เลือกเรียนคณะที่ไม่ชอบหรือไม่สามารถเรียนได้ ทางเลือกที่เด็กส่วนใหญ่เลือกกัน ก็คือ การซิ่ว โดยการซิ่วนั้น คือการหยุดเรียนไปประมาณ 1 ปี เพื่อเตรียมตัวในการสอบเข้าหรือสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ตนเองใฝ่ฝันในปีถัดไป ซึ่งเป็นผลดีกับตัวของเด็กที่มีการวางแผนการอ่านหนังสือที่ดี ไม่ขี้เกียจ สามารถควบคุมตนเองได้ บังคับตนเองให้อ่านหนังสือตามแผนอยู่สม่ำเสมอ

แต่ การเลือกคณะที่ไม่ใช่ ก็เป็นผลเสียอย่างมากต่อเด็กที่ไม่มีความเป็นระเบียบ ไม่มีการวางแผน ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับให้ตนเองทำตามแผนที่วางไว้ได้ สิ่งนี้จะทำให้เด็กๆเสียเวลาไป 1 ปีโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งการหยุดเรียนไป 1 ปีนั้นอาจจะทำให้เรารู้สึกเคยชินกับการอยู่บ้าน อาจจะทำให้ไม่อยากกลับไปเรียนหนังสืออีกก็ได้

ค่าใช้จ่าย

การเลือกคณะที่ไม่ใช่ ทำให้เกิดผลเสียข้อแรกเลย คือ ค่าใช้จ่าย เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กม.6 มีค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบค่อนข้างที่จะเยอะมากๆ อีกทั้งถ้าเด็กๆมี การเลือกคณะที่ไม่ใช่ แล้วลองเข้าไปเรียน จนจะต้องมี การซิ่วออกมาก็จะเสียค่าใช้จ่ายทั้งค่าเทอม ค่าเครื่องแบบนักศึกษา ค่าบำรุงการศึกษาต่างๆ ค่าหอพักนักศึกษา หรือบางคนที่อยู่ไกลบ้านอาจจะต้องใช้ยานพาหนะอีกต่างหาก ถ้าหากเด็กๆซิ่วออกมา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเสียไปก็จะไร้ซึ่งประโยชน์ทุกอย่าง

การเลือกคณะที่ไม่ใช่ ทำให้เกิดผลเสียข้อที่สองเลย ก็คือ แรงกดดันจากรอบข้าง การที่เด็กๆได้คณะที่ไม่ใช่หรือไม่ได้ชอบ คนรอบข้างก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เราลังเลหรือรู้สึกไม่ดีได้ เช่น คนรอบข้างมักจะถามไถ่ว่าทำไมถึงซิ่ว ทำไมถึงเรียนไม่ได้ หรือพ่อแม่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับทางเลือกในการซิ่วหรือหยุดเรียน 1 ปี เพื่อรอสอบคณะที่ชอบในปีถัดไป

โดยสิ่งสำคัญไม่ว่าจะอย่างไร น้องม.6 จะต้องค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบและคิดว่ามันใช่สำหรับเราจริงๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาในภายหลัง

ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กังวลกับลูกมาก

การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กังวลกับลูกมาก

นักศึกษาบางคนที่เรียนในคณะหรือสาขานั้น เชื่อว่ามีนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่รู้สึกยังไม่ชอบในคณะหรือสาขาที่ตนเองกำลังเรียนอยู่ ซึ่งก็จะมีการแก้ปัญหานี้สองประเภทด้วยกัน คือ เรียนต่อในคณะที่กำลังเรียนอยู่ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือ การซิ่วอยู่บ้าน แต่การซิ่วนั้นคนเป็น พ่อแม่กังวลกับลูก ก็มักจะไม่ค่อยเห็นด้วยในการซิ่วอยู่บ้าน ซึ่งมีหลายเหตุผลด้วยกัน

การซิ่วอยู่บ้าน

การซิ่วอยู่บ้าน พ่อแม่กังวลกับลูก

การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กังวลกับลูก เพราะกลัวลูกจะขี้เกียจ การที่เราซิ่วอยู่บ้านจะทำให้เรามีเวลาว่างที่เยอะมากๆ จนบางครั้งเราเริ่มรู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากอ่านหนังสือ หรืออยากนอน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะกังวลและกลัว เพราะเมื่อเราขี้เกียจ เราจะไม่อ่านหนังสือ และไม่สามารถทำตามแผนที่เราวางไว้ในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่หวังไว้

การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กลัวลูกขี้เกียจ

โดยต้องมี การวางแผนในการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ แต่ถ้าการวางแผนที่ไม่ชัดเจนและไม่รอบคอบมากพอก็จะเป็นผลเสียอย่างมาก อีกทั้งถ้าหากเราเป็นคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งอีก การวางแผนต่างๆก็ไร้ซึ่งประโยชน์อย่างมาก

การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กังวลกับลูก โดย เบื่อในการซิ่วอยู่บ้าน เราก็จะได้เจอแค่สถานที่เดิมๆคือในบ้านหรือหอพัก คนเดิมๆเช่น พ่อแม่ พี่น้อง หรือรูมเมท หรือเจอบรรยากาศที่เราพบเจอเป็นชีวิตประจำวัน ก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายได้ ซึ่งอาการเบื่อเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆ เพราะถ้าหากเราเบื่อเร็ว ในระยะเวลาที่เหลือ1 ปีนั้นก็อาจจะใช้ชีวิตในการเตรียมตัวยากมากขึ้น เนื่องจากการเบื่อ ทำให้เราไม่อยากที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเลย รู้สึกไม่มี Passion ในการอ่านหนังสือก็ว่าได้

การซิ่วอยู่บ้าน มีผลเสียตามมา

การซิ่วอยู่บ้าน ที่พ่อแม่กังวลกับลูก โดยมี ความกดดันในการซิ่วอยู่บ้าน นั้น มีแรงกดดันที่ค่อนข้างมาก จากคนรอบข้าง เพราะการที่เราหยุดอยู่บ้านในวัยกำลังเรียน หลายคนมักจะให้ความสนใจและมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบจากเรา เช่น เรียนที่ไหนหรอ?ทำไมไม่ไปเรียน? เรียนคณะอะไร สาขาอะไรถึงอยู่บ้านได้? หรือ ไม่เรียนแล้วหรอ? ซึ่งคำถามเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจเราอยู่เสมอ

การซิ่วอยู่บ้าน อาจจะมีผลเสียที่หลายคนมองเห็นได้ชัดเจน แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองมากกว่าที่เลือกจะคิดและมอง ซึ่งน้องๆที่เลือกการซิ่วอยู่บ้าน พยายามแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นว่า การซิ่วอยู่บ้าน 1 ปีนั้นเป็นประโยชน์ที่สุด

ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ที่เรานำมาเสริฟให้คุณได้ที่เว็บไซต์นี้

แนะนำข่าวการศึกษาไทย การเลือกคณะเรียน เพื่อศึกษาต่อในปริญญา มีผลต่ออาชีพเมื่อเรียนจบ

ข่าวการศึกษาไทย ข้อมูลการเรียน การศึกษาต่อ กศน ปวช ปวส ปตรี ล่าสุด เว็บไซต์ข่าวการศึกษาไทย

ข่าวการศึกษาไทย ข้อมูลการเรียน ข้อมูลด้านการเรียน เรื่องราวเกี่ยวกับการสอบ การศึกษาในระบบโรงเรียน และการศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ข้อมูลปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการศึกษา การจัดการเรียนการสอน และปัญหาในแวววงการศึกษาไทย รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน

ข่าวการศึกษาไทย ข้อมูลการเรียน ในรูปแบต่างๆ arab-games ได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับแนวโน้มของการศึกษา

ข่าวการศึกษาไทย และปัญหาของนักเรียนทั้งในด้านที่ส่งผลดีและผลเสียที่ทำให้สังคมไทยยังต้องมีการปรับปรุงระบบการศึกษาไทยให้ก้าวทันต่อสังคมในยุคปัจจุบัน ข่าวการศึกษาไทย และเรายังรวบรวมข่าวด้านการศึกษาต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลทุนการศึกษาต่างๆ เพียงแค่คุณเข้ามาที่ ข่าวการศึกษาไทย คุณจะทราบข่าวสารด้านการศึกษาอย่างแน่นอน

ข่าวการศึกษาไทย arab-games.net300

 

Tags

การบูลลี่ การประกอบอาชีพ การพูด การวางแผน การศึกษา การศึกษาของไทย การศึกษายุคใหม่ การศึกษาสายอาชีพ การสอบ การสื่อสาร การสื่อสารภาษาอังกฤษ การอ่าน การอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบ การเรียน การเรียนการสอน การเรียนภาษา การเรียนรู้ การเรียนออนไลน์ ข่าวการศึกษาไทย ความคิด ความจำ ความรู้ ด้านการศึกษา ตำราเรียน ทักษะการเรียน นักอ่าน ประสบการณ์ ผู้เรียน ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัย วรรณกรรมเยาวชน วัยเรียน วิธีเรียนออนไลน์ให้สนุก วิธีแก้ปัญหานักเรียนไม่เรียนออนไลน์ สมอง อ่านหนังสือ เทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษ เทคนิคการเรียนเก่ง เทคโนโลยี เป้าหมาย เรียนออนไลน์ โรคระบาด

ขอบคุณเพื่อนบ้าน เว็บสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ข้อมูลข่าวสารดีๆมาตลอดอย่าง http://www.alupkame.info เว็บแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลก