การเลือกคณะเรียน เพื่อศึกษาต่อในปริญญา มีผลต่ออาชีพเมื่อเรียนจบ
น้องมัธยมศึกษาปีที่6 หรือสั้นๆว่า “น้องม.6” ที่กำลังจะสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย ต่างมี การเลือกคณะเรียน หรือสาขาที่ตนเองฝันและอยากเข้าศึกษา แต่น้องๆบางส่วนก็ยังไม่มีคณะที่ตนเองสนใจหรืออยากจะเข้า หรือบางคนก็ยังลังเลในคณะนั้นๆอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาเป็นอย่างมาก ทั้งตัวน้องม.6 ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมี การเลือกคณะเรียน ที่เราชอบ แต่ดันสอบไม่ได้ และได้หาที่เรียนโดยสอบเข้าคณะที่ตนเองไม่ได้อยากเรียนหรือสนใจจริงๆ
เพราะเมื่อได้เข้าไปเรียนแล้ว กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่หรือไม่สามารถเรียนได้ ก็อาจจะทำให้น้องๆเลือกการซิ่ว เพื่อไปหาคณะอื่นที่เหมาะสมกับเรามากกว่าคณะในปัจจุบัน ทำให้เสียทั้งเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบ การเดินทางไปสอบต่างๆ ค่าเทอม ค่าเครื่องแบบนักศึกษา ค่าหอพัก และค่าอื่นๆอีก
ส่งผลเสียในด้านมหาวิทยาลัย เช่น การที่นักศึกษาได้ลาออกหรือซิวออกไปนั้น ทำให้คณะต้องมาพิจารณาถึงสาเหตุในการลาออก เพราะด้วยสาเหตุจากทางคณะหรือมหาวิทยาลัย หรือตัวของเด็กๆเอง ยิ่งถ้าหากคณะนั้นมีอัตราการลาออกหรือซิ่วจำนวนมาก ยิ่งต้องเป็นปัญหาของมหาวิทยาลัยมากด้วยเช่นกัน
การเลือกคณะเพื่อศึกษาต่อที่ จำเป็นต้องเลือกคณะที่ชอบอย่างแท้จริง
โดยเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น การเลือกคณะเรียน ที่ใช่สำหรับเราจริงๆ บางคนที่เลือกคณะหรือสาขานั้นๆ เพราะตามเพื่อน พ่อแม่บังคับ ครอบครัวอยากให้เรียนในคณะนี้ สังคมกำลังให้ความสนใจกับอาชีพในคณะนี้ เป็นต้น หรือบางคนก็เลือกคณะที่ตนเองฝันไม่ได้ อาจจะด้วยคะแนนสอบไม่ถึงหรือไม่สามารถเลือกได้ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้วางแผนในการเลือกคณะอื่นเผื่อไว้
การเลือกคณะเรียน บางคนอาจจะเลือกคณะที่ตนเองสามารถเลือกได้โดยไม่คำนึงว่าตนเองชอบจริงหรือไม่ สามารถเรียนได้หรือเปล่า หรือบางคนก็หยุดเรียนไป 1 ปี เพื่อรอสอบใหม่ในปีถัดไป น้องม.6บางคนที่ยังลังเลอยู่ ก็อาจจะเพราะว่าตอนนี้ยังไม่มีอาชีพในใจหรือใฝ่ฝันเอาไว้ ซึ่งเหตุผลอาจจะด้วยประสบการณ์หรือการพบเจออาชีพนั้นค่อนข้างน้อย ทำให้เด็กๆยังไม่มีอาชีพที่สนใจในอนาคต
การเลือกคณะเรียน ที่ใช่นั้น มีผลต่ออาชีพของเราในอนาคต บวกกับเนื้อหาที่จะต้องเรียน สังคมที่จะต้องเจอ จะนำพาให้เราไปในสายอาชีพที่ใกล้เคียงกับคณะหรือสาขาที่เราเรียน
คุณจะได้ติดตาม ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำข่าวการศึกษาไทย บัณฑิตที่จบใหม่ กับคำถามว่า”มีงานหรือยัง?”
การเรียนเสริมทักษะ อย่างไรให้เหมาะกับลูกเรา
การเรียนเสริมทักษะ ในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่หลาย ๆ บ้านมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพราะหากลูกของเรามีความสามารถหลากหลาย ตัวเด็กนั้นย่อมได้รับการเป็นที่ยอมรับจากสังคม ไม่ว่าจะได้เปรียบในเรื่องของการสมัครเรียน หรือต่อยอดไปจนถึงอนาคตของพวกเขา เหมือนเป็นการปูทางเดินให้ลูกของเราได้เจอในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วย แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเลือก ใน การเรียนเสริมทักษะ นั้นจะเหมาะกับลูกของเรา
การเรียนเสริมทักษะ การออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับเด็ก
ซึ่ง การเรียนเสริมทักษะ ในสมัยนี้ ยังมีความหลากหลายกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ กีฬา ดนตรี การแสดง ทำอาหาร ศิลปะ ภาษา รวมไปถึงด้านเทคโนโลยี ล้วนออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับเด็ก ๆ โดยมีตั้งแต่ช่วงอายุวัย 6 เดือน ไปจนถึง 6 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ และการเลือกเรียนเสริมทักษะนั้น ทุกสถาบันเขาก็จะมีให้เราได้ไปทดลองเรียนดู เพื่อจะได้ประเมินในตัวเด็กว่า สามารถที่จะ การเรียนเสริมทักษะ ในด้านนี้ได้ไหม
นับว่าเป็นเรื่องดีมาก ๆ เพราะจะทำให้เราได้มองในตัวลูกของเราออกว่าเขาชอบอะไร หรือ ถนัดด้านไหนกันแน่สามารถทำให้เราได้ตัดสินใจได้ถูกต้องนั่นเอง และหากเมื่อเจอในสิ่งที่เขาชอบแล้ว อยากจะแนะนำว่าให้ การเรียนเสริมทักษะ ตัวนั้นอย่างต่อเนื่องไปเลย เพราะยิ่งจะทำให้เขามีความชำนาญและเป็นเร็ว อย่าไปเลือกเรียนหลาย ๆ ด้าน แล้วลงเพียงคอร์สเดียวจบ อาจจะทำให้เขาไม่สามารถที่จะพัฒนาความสามารถได้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าหากเราอยากเห็นลูกของเราเรียนเสริมทักษะแล้วเห็นผล ควรส่งเสริมในด้านที่เขาชอบอย่างจริงจัง เช่นทักษะด้านดนตรี เมื่อเลือกใน การเรียนเสริมทักษะ ในด้านนี้อย่างเปียโน ก็ควรเรียนอย่างต่อเนื่องจนกว่าเขาจะเล่นเป็น สามารถที่จะฟังเสียงคีย์ อ่านตัวโน๊ตพร้อมที่จะเล่นเป็นเพลงได้ และรวมไปถึง การเรียนเสริมทักษะ อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาในการค้นหา แต่รับรองว่าพ่อแม่ทุกคนต้องเจอทักษะที่เหมาะกับสมลูกของเราแน่นอน
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำข่าวการศึกษาไทย บทเรียนนอกตำรา การเรียนรู้ที่ต้องเผชิญโลกกว้าง
การปลูกจิตสำนึกในเด็ก รากฐานสำคัญในวัยเด็ก
การปลูกจิตสำนึก ในสมัยนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมาก เพราะด้วยในยุคปัจจุบันมีสิ่งล่อตาล่อใจ ทำให้ขบวนการความคิดบางอย่างอาจจะแยกแยะความว่าผิดถูกไม่เป็น และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในการอยู่ร่วมกับสังคม
หากพ่อแม่อย่างพวกเราละเลยในเรื่องของ การปลูกจิตสำนึกในเด็ก แล้วละก็ รับรองว่าผลที่ตามมานั้นย่อมไม่ดีกับตัวเราและลูกของเราอย่างแน่นอน
การปลูกจิตสำนึกในเด็ก ย่อมมีผลลัพธ์ดีๆเกิดขึ้น
เพราะ การปลูกจิตสำนึกในเด็ก มันจะช่วยให้ลูกของเรา รู้ว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ เมื่อเขาได้ไปเจอปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ เขานั่นก็จะใช้สติในการแก้ปัญหามากกว่าการใช้อารมณ์ และผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมมีแต่เรื่องดี ๆ เปรียบเหมือนกับการที่เราได้ปลูกผลไม้ เมื่อผลสุกเราก็จะได้ชิมรสชาติที่หอมหวาน การปลูกจิตสำนึก ก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลาของมัน เราจะเห็นมันออกมาจากหัวใจของลูกเราเอง
แต่บางคนกลับมองว่า การปลูกจิตสำนึกในเด็ก นั้นไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไร เพราะทุกวันนี้ให้ลูกเรียนหนังสือก็เยอะพออยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้มากนัก และผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะแตกต่างกับเด็กที่ได้รับการอมรมบ่มนิสัย อย่างเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นมา พวกเขามักจะใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันภายในนครอบครัว และนำพาไปสู่ความแตกแยก เพราะพวกเขาไม่สำนึกในความผิดที่ตัวเองกระทำ มักคิดว่าเป็นฝ่ายถูกเสมอ ซึ่งจะกลายเป็นพ่อแม่นั่นแหละที่จะเป็นทุกข์เสียเอง
ซึ่ง การปลูกจิตสำนึกในเด็ก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรเลย เพียงแค่เริ่มต้นจากตัวเราก่อน ทำตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็นพวกเด็ก ๆ เขาก็จะซึมซับเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย อาจจะไม่เห็นผลในตอนนี้ แต่เชื่อว่าในภายภาคหน้าถ้าเขามีจิตสำนึกที่ดี รับรองว่าเขาจะไม่ทำให้คุณต้องเสียใจ หรือทำเรื่องราวที่ทำให้พ่อแม่ที่ตนเองรักต้องเป็นทุกข์ เพราะเด็กพวกนี้เขาจะมีความคิดในเชิงบวก มักคิดแต่เรื่องราวดี ๆ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข
ติดตาม ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำข่าวการศึกษาไทย ศาสตร์การเรียนกับโลจิสติกส์ ที่สำคัญกับโลกแห่งอนาคต
เทคนิคการออมเงิน ฉบับนักศึกษาที่ใช้ได้จริง
เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย มันเป็นวัยที่ต้องเหนื่อย !! หนึ่งในบทเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของพี่ ๆ วง Paradox ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นวัยรุ่นนั้นมันเหนื่อยจริง ๆ ไหนจะต้องเรียนให้ดี กิจกรรมต้องเด่น อีกทั้งยังต้องคอยจัดสรร และออมเงินไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนอีก
อีกทั้งไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ยังเจอแต่ทฤษฎีวางแผนทางการเงิน รวมไปถึงการออมเงิน ที่ดูยากและไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ชาวนักศึกษาจะต้องเจอ วันนี้พี่จึงได้รวบรวม 4 เทคนิคการออมเงิน ที่เป็นการเก็บเงินได้เป็นพันถึงหมี่นแบบใช้ได้จริง ฉบับนักศึกษามาให้กัน !!
เทคนิคการออมเงิน ให้ได้ผลดีที่สุด
เทคนิคการออมเงิน เทคนิคแรกที่อยากแนะนำ คือ แบ่งค่าใช้จ่ายแต่ละวัน เพราะเรื่องเงินทองต้องวางแผน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงานก็ตาม นั้นจึงทำให้จุดเริ่มต้นของการออมเงินที่ดีคือการแบ่งค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
ลองลิสต์ออกมาดูว่าในหนึ่งวันน้อง ๆ ต้องใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะ และลองนำเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนไปแตกเป็นแบงก์ย่อย แบ่งใส่ซอง เพื่อในตอนเช้าจะได้หยิบจัดได้ง่าย ไม่เสียเวลาเตรียมตัวซ้ำ
เทคนิคการออมเงิน เทคนิคที่สองที่อยากแนะนำ คือ จำกัดจำนวนมื้อ / ไม่กินจุกจิก วัยกำลังโตพี่เข้าใจ แต่กินจุกจิกทั้งวันพี่ว่าก็ไม่ไหวนะ ค่าใช้จ่ายที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของนักศึกษาคือ ค่าของกิน ดังนั้นหากน้อง ๆ อยากออมเงินลองจำกัดจำนวนมื้อที่กินต่อวัน และไม่กินจุกจิกดู เช่น จะกินแค่ 4 มื้อต่อวัน
เพราะกำลังเล่นเวทเพื่อสร้าง กล้ามเนื้อ อยู่ และจะไม่กินจุกจิกระหว่างวันเด็ดขาด วิธีนี้นอกจากจะได้ออมเงินเพิ่มขึ้นแล้วยังได้ของแถมคือสุขภาพดี หุ่นที่ฟิตเฟิร์มขึ้นมาอีกด้วย
เทคนิคการออมเงิน เทคนิคที่สามที่อยากแนะนำ คือ หารูมเมทแชร์ค่าห้อง ค่าใช้จ่ายที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ ค่าหอพักในกรณีที่เป็นนักศึกษาที่บ้านค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัยและจำเป็นจะต้องอยู่หอ ซึ่งวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้การออมเงินของเพิ่มขึ้นคือลองหารูมเมทเพื่อแชร์ค่าห้องดูสิ
นอกจากจะได้ประหยัดจนมีเงินออมเพิ่มแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทที่จะคอยช่วยเราในทุกเรื่องก็ได้นะ แต่ต้องขอบอกว่าควรแสกนถึงความเข้ากันได้ให้ดีล่ะ ก่อนที่จะตกลงเป็นรูมเมทกัน
เทคนิคการออมเงิน เทคนิคที่สี่ที่อยากแนะนำ คือ ลดการเข้าสังคมด้วยปาร์ตี้ พี่เข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย มันเลยต้องระบายออกด้วยการไปปาร์ตี้บ้าง แต่ถ้าคิดดูให้ดูการลด ละ เลิก การปาร์ตี้อาจทำให้การออมเงินของน้อง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากเลยนะ แอบกระซิบว่าน้อง ๆ บางคนอาจมีเงินออมเพิ่มมากขึ้นหลายพันจนถึงหมื่นเลยเชียว จากแค่ลดการปาร์ตี้ลงบ้าง
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำข่าวการศึกษาไทย วิธีค้นหาพรสวรรค์ของเด็ก การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
บัณฑิตที่จบใหม่ กับคำถามว่า”มีงานหรือยัง?”
จากนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องหางานทำ นักศึกษาที่จบใหม่ เราเรียกกันว่า “บัณฑิต” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งตัวบัณฑิตเอง ครอบครัว และคนรอบข้างมักจะรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีปรีดาด้วย เพราะกว่าบัณฑิตจะเรียนจบนั้น ก็ยากลำบากอยู่พอสมควร เนื่องด้วยทั้งเนื้อหาการเรียนที่เข้มข้นและละเอียดมากกว่าในระดับมัธยมศึกษา เพราะการศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น เราจะเลือกคณะหรือสาขาวิชาที่เราสนใจที่จะนำไปประกอบอาชีพในอนาคตต่อไป
แต่ บัณฑิตที่จบใหม่ ส่วนใหญ่มักจะต้องเจอกับคำถามยอดฮิตที่ว่า “ได้งานหรือยัง?” “ทำงานอะไรหรอ?” “จะทำงานหรือเรียนต่อ?” เป็นต้น ถ้าหากบัณฑิตนั้นจบมาแล้วมีงานทำเลยก็คงที่จะดี แต่ในส่วนของบัณฑิตที่จบออกมาแล้วยังเจอทางแยกที่มากมาย ยังไม่สามารถสรุปตัวเองได้นั้น ก็คงยากที่จะตอบคำถามเหล่านั้น
บัณฑิตที่จบ มักเจอคำถามจี้จุดที่อาจทำให้รู้สึกแย่ได้
บัณฑิตที่จบใหม่ ยังหางานไม่ได้ ก็จะมีสภาวะที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากในขณะที่บัณฑิตบางคนมีงานมีการทำแล้ว แต่ตนเองยังไม่ได้มีงานทำหรือมีรายได้เลย ก็ทำให้คิดว่าตนเองไม่มีศักยภาพ ไม่ดีพอ เรียนจบมาไม่มีคุณภาพ รู้สึกว่าตนเองแย่ ไม่มี ความสุข รู้สึกว่าทำให้ครอบครัวไม่ภาคภูมิใจเท่าที่ควร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า หรือถึงขั้นฆ่าตัวตายได้เลย ซึ่งบัณฑิตที่ไม่มีงานทำมีอาการเหล่านี้อยู่บ้าง แล้วยิ่งถ้ามีคนรอบข้างมากดดันหรือถามคำถามจี้จุดอีกก็ยังจะทำให้พวกเขารู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่มีคุณค่ากว่าเดิมอีกด้วย
การเป็นบัณฑิต เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะ บัณฑิตที่จบใหม่ มันค่อนข้างที่จะลำบากหรือยากเย็นอยู่พอสมควร แต่ลองคิดดูนะว่ากว่าบัณฑิตจะผ่านชีวิตมหาวิทยาลัยได้ก็หนักหนาสาหัสอยู่พอประมาณ สิ่งเหล่านั้นในมหาวิทยาลัยจะเป็นพื้นฐานหรือประสบการณ์ที่จะทำให้เราออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงได้โดยที่เราจะต้องก้าวผ่านอุปสรรคและปัญหาไปได้ และบัณฑิตควรจะให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ไม่ไปฟังคำคนอื่นที่ทำให้จิตใจเราย่ำแย่มากเกินไป เราจะต้องก้าวผ่านไปได้ด้วยดี
ติดตามข่าวสาร ข่าวการศึกษาไทย ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำเรื่องราวการศึกษาไทยมาให้คุณได้ติดตามก่อนใคร คุณครูที่เด็กรัก เป็นแบบไหน
คุณครูที่เด็กรัก เป็นแบบไหน
เด็กหลายๆคนมักจะไม่ชอบไปโรงเรียน สาเหตุมาจากหลายอย่าง เช่น เพื่อนแกล้ง เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เรียนหนังสือไม่เข้าใจ หรือไม่ชอบคุณครู เป็นต้น
ซึ่งคุณครูเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนอยากมาหรือไม่อยากมาโรงเรียนอีกด้วย ซึ่ง คุณครูที่เด็กรัก เป็นแบบไหนกันนะ ที่ทำให้นักเรียนรักและเคารพมากๆ บทความนี้เราจะมาบอกเล่าถึงคุณครูที่เด็กๆรักกัน ดังนี้
คุณครูที่เด็กรักและเคารพ เด็กมีความสนุกในการเรียน
- คุณครูที่เป็นกันเอง เด็กนักเรียนหลายคนมักจะเกรงกลัวหรือไม่กล้าที่จะพูดคุยกับคุณครู เพราะคุณครูบางท่านมีความวางตัวจนถึงขั้นเด็กนักเรียนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้กันเลยทีเดียว แต่ผิดกับคุณครูที่มีความเป็นกันเองกับเด็กนักเรียน จะเป็นการทำให้เด็กๆกล้าที่จะเข้ามาปรึกษา ถามคำถาม หรือทำกิจกรรมต่างๆด้วยอยู่เสมอ
- คุณครูตลกและขบขัน การเป็นคนที่มีความตลกขบขัน ร่าเริง ใครๆก็อยากที่จะอยู่ใกล้ๆอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นคุณครูที่ตลก ก็จะทำให้เด็กๆรู้สึกชื่นชอบ ตลก มีความสนุกในการเรียน ไม่รู้สึกเบื่อเลยก็ว่าได้
- คุณครูผู้เข้าใจเด็ก เด็กนักเรียนหลายคนมาจากต่างครอบครัว ต่างพ่อแม่ การเลี้ยงดูก็ย่อมจะแตกต่างกัน ดังนั้นเด็กนักเรียนก็จะมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน คุณครูที่สามารถเข้ากับเด็กๆได้ทุกรูปแบบ จะทำให้เด็กนักเรียนรักและเคารพเป็นอย่างมาก
- คุณครูผู้ไม่เหยียดหยาม ในสังคมปัจจุบันนี้มีความแตกต่างในแต่ละบุคคลค่อนข้างมาก ทำให้เด็กๆมีฐานะที่แตกต่างกัน หรือมีสภาพการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการไปโรงเรียน ของเด็กๆนั้น เป็นการสอนหลายสิ่งให้แก่พวกเขา คุณครูจึงเป็นปัจจัยหลักที่จะคอยช่วยเหลือหรือพัฒนาเด็กๆให้ดียิ่งขึ้น โดยไม่เหยียดหยามหรือพูดจาส่อเสียด
- คุณครูที่สอนเข้าใจ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เด็กจะรักหรือไม่ เพราะการที่คุณครูสอนหนังสือไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน ก่อกวนผู้อื่นในห้องเรียน หรือแสดงการไม่เคารพคุณครูออกไปได้ แต่ถ้าหากคุณครูสอนเข้าใจ สอนสนุก มีสื่อการสอนที่ให้เด็กๆตื่นเต้นอยู่เสมอ ก็ทำให้พวกเขามีความสุขในการเรียนมากขึ้น
ติดตามข่าวสาร ข้อมูลการศึกษา ได้ที่เว็บไซต์นี้
แนะนำข่าวการศึกษาไทย ศาสตร์การเรียนกับโลจิสติกส์ ที่สำคัญกับโลกแห่งอนาคต